วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บทที่ 15...วงศ์วานแห่งเอกภพ หนังสือจานบินวิเคราะห์

วงศ์วานแห่งเอกภพ

 




จากหนังสือ จานบินวิเคราะห์  บทที่ 15 วงศ์วานแห่งเอกภพ



วงศ์วานแห่งเอกภพ...(1)

โลกของเรานี้เป็นเพียงจุดของฝุ่นผงธุลี ละอองเล็ก ๆ ที่ไม่มีความหมายอะไรเลย เมื่อเปรียบเทียบกับความใหญ่โตมโหฬารของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลจนหาขอบเขตบ่มิได้ มนุษย์เราก็เป็นแค่ผู้เยาว์วัยเหมือนทารกเพิ่งลืมตาขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน เมื่อเทียบกับเวลาของเอกภพที่ได้เริ่มมีกำเนิดเกิดมา....ก็แล้วทำไม....โลกเราจึงเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงเดียว หนึ่งในล้านล้านล้านดวงที่มีชีวิตชั้นสูงปรากฏอยู่
......มันออกจะเป็นการโง่เขลาสักหน่อย ถ้าจะเสี่ยงตอบปัญหาดังกล่าวว่าเป็นความจริง หนึ่งในล้านล้านล้านเป็นการเสี่ยงโชคของคนที่ไร้ปัญญา นักวิทยาศาสตร์ได้ร่วมกันคิดหาคำตอบ ที่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคำตอบที่ใกล้เคียงความจริง ไม่ใช่วิธีเสี่ยงคำตอบแบบโยนหัวโยนก้อย คำตอบที่พอจะเป็นไปได้ต้องอาศัยเครื่องมืออย่างเดียวที่มนุษย์จะหาได้คือ คณิตศาสตร์ เพื่อคำนวณหาคำตอบ จะมีจำนวนของสิ่งมีชีวิตระดับสูงอยู่อีกเท่าไรในเอกภพนี้ ?
Ns.fp.Ne.fc.Ni.Lc.fb
N = --------------------------------
Lp
( แทนค่าสูตรคณิตศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ จะขอผ่านไปเพราะมีข้อมูลแทนค่าสูตรยาวมาก)

..... เมื่อแทนค่าแล้วก็ได้คำตอบว่า
N = 1,000,000
นั่นคือ ยังมีโลกอื่นที่มีระบบอารยธรรมระดับสูงอยู่อีกเป็นจำนวนล้านดวง โดยการคำนวณค่าต่ำสุดทางคณิตศาสตร์

กาแลกซี่ของเราอาจเปรียบได้กับตึกสูง 102 ชั้น แต่ละชั้น หมายถึงช่วงเวลา 150 ล้านปี กาแลกซี่ของเราก็มีอายุประมาณความสูงเท่ากับตึกเอมไพร์สเตท ความเจริญของอารยธรรมมนุษย์โลกก็จัดอยู่ในลำดับชั้นที่ 10 ของตึกเท่านั้น และพวกที่อยู่บนยอดตึกชั้นที่ 102 เล่า ..... มนุษย์ไม่อาจนำอะไรไปเปรียบเทียบได้เลยแม้แต่ความคิดในฝัน กฎทางคณิตศาสตร์ได้ชี้บอกให้มนุษย์ทราบว่า ยังมีผู้ที่อยู่สูงกว่าเราอีกมาก และการที่มนุษย์จะมองหาผู้ที่มีอารยธรรมสูงเหล่านั้น มนุษย์จะต้องคิดให้รอบคอบ มองให้ลึกซึ้ง ลึกเข้าไปในอาณาจักรอันไร้ขอบเขต ข้ามระยะทางและกาลเวลาเข้าไปในอดีตและอนาคตของตนเอง

บันทึกโบราณคดี ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติหลายแหล่งแสดงให้เห็นสิ่งแปลก ๆ หลายอย่าง ซึ่งหาคำอธิบายให้แจ่มแจ้งไม่ได้ หลักฐานของสิ่งประหลาดจากอารยธรรมดึกดำบรรพ์ได้ถูกค้นพบ หลักฐานแปลก ๆ เหล่านี้ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ในอดีตอาจมีผู้มาเยือนจากต่างดาวแล้วก็ได้ เขาได้สอนสิ่งต่าง ๆ ให้ชาวโลก มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่บรรพบุรุษของเราสามารถคิดสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาได้เอง เช่นหลักการทางเลขคณิตที่นับจำนวนได้ถึงอนันต์ แบตเตอรี่โบราณ หรือแผนที่โลกโบราณที่มีความละเอียดถูกต้องราวกับแผนที่ถ่ายจากดาวเทียม เป็นต้น

สำหรับอนาคตของมนุษย์ชาติจะเป็นอย่างไรนั้น เป็นเรื่องยากที่จะทำนาย มนุษย์จะมีโอกาสขึ้นไปสู่ชั้นที่ 21 - 22 - 23 .....ของตึกแห่งวิวัฒนาการหรือไม่ และจะเป็นอย่างไร จำเป็นต้องใช้จินตนาการพร้อมด้วยหลักตรรกวิทยาเข้าช่วย ในอันที่จะหยั่งดูความลึกของอนาคตกาล แต่ก็ต้องอาศัยข้อมูลจากอดีตและปัจจุบันเข้าเสริม เพื่อการก้าวไปสู่จินตนาการในอนาคตที่มั่นคง.



วงศ์วานแห่งเอกภพ...(2)
ขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของดาวเคราะห์ที่สามารถให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตได้ แบ่งได้เป็นลำดับเบื้องต้นกล่าวได้ดังนี้คือ
1. การรวมตัวก่อกำเนิดขึ้นมาเป็นดาวเคราะห์ จากฝุ่นธุลีในอวกาศกลายมาเป็นดาวเคราะห์ ใช้เวลาเป็นล้านล้านปี ค่อยเย็นตัวลงและวิวัฒนาการไปสู่ดาวเคราะห์ที่มีบรรยากาศ มีน้ำ มีทะเล มีภูเขา ที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุ และอุณหภูมิที่พอเหมาะ นับเป็นขั้นตอนที่หนึ่ง คล้ายกับการลงรากฝังเข็มหล่อฐานของตึก
2. การรวมตัวของกรดอะมิโน (amino acid) ก่อกำเนิดเป็นโครงสร้างของสารอินทรีย์ และชีวิตหน่วยแรกก็อุบัติขึ้นมา มันอาจเป็นสัตว์ชั้นต่ำที่สุด มีเซลเดียว หรือเป็นเพียงกลุ่มเคมีที่เป็นสารอินทรีย์
มีอยู่ทั่วไปในทะเลของพิภพนั้นนับเป็นชั้นแรก ๆ ของตัวตึก

3. การรวมตัวก่อกำเนิดขึ้นของ ซุปเปอร์โมเลกุล" ซึ่งสามารถถอดแบบของตัวเองโดยการแบ่งตัวได้เรียกว่าโครงสร้าง DNA และ RNA
4. การก่อกำเนิดของสัตว์เซลเดียวที่สมบูรณ์แบบ มันสามารถแพร่พันธุ์โดยการแบ่งตัวขยายพันธุ์ไปได้
5. การก่อกำเนิดสัตว์เซลรวม หรือ สัตว์หลายเซล การวิวัฒนาขั้นที่ห้าจะไปถึงยอดสูงสุดของมันที่สัตว์ชั้นสูง สิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาจะอุบัติขึ้นตามมาในที่สุด สิ่งมีชีวิตที่รู้จักใช้เครื่องมือ (tool using) ก็เริ่มปรากฏ และนี่คือระดับของมนุษย์บนพิภพโลกในปัจจุบัน
โดยเนื้อหาอันแท้จริง สิ่งที่เกิดขึ้นค่อย ๆ เปลี่ยนแปรปรากฏนั้นคือการต่อสู้แข่งขันกันของขบวนการแห่งระบบควบคุม......สิ่งมีชีวิตมีระบบกลไกอยู่สองอย่างสำหรับควบคุมพฤติกรรมของมันเอง ระบบอย่างแรกคือ ยีนเนติกที่ได้รับการโปรแกรมแล้ว (genetically programmed) และระบบอย่างที่สองคือ ยีนเนติกที่ยังไม่มีโปรแกรม (genetically unprogrammed) ดังนั้นจะเห็นว่าระบบอย่างแรก เป็นการควบคุมการวิวัฒนาการที่ไม่สามารถดัดแปลงตนเองอีกต่อไปได้ ส่วนอีกระบบหนึ่งเป็นระบบควบคุมการวิวัฒนาการที่สามารถดัดแปลงตนเองได้โดยการเรียนรู้ ระบบควบคุมการวิวัฒนาการแบบไม่มีโปรแกรม เป็นกลไกอย่างหนึ่งในธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับการเรียนรู้และหาประสบการณ์เพื่อการดัดแปลงตนเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับสูง มีความเฉลียวฉลาด เช่น รู้จักใช้เครื่องมือ เพื่อช่วยในการผ่อนแรง ก็คือ สิ่งมีชีวิตที่มีจำนวนยีนที่สามารถเรียนรู้ได้มากกว่าจำนวนยีนที่ถูกโปรแกรมเอาไว้แล้วซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ได้


วงศ์วานแห่งเอกภพ...(3)
ในบรรดาสิ่งมีชีวิตแต่ละตัวแต่ละคน แต่ละรูปแบบ จะต้องมีระบบกลไกควบคุมการวิวัฒนาการทั้งสองแบบผสมอยู่ด้วยกัน ถ้าสมมุติว่าสิ่งมีชีวิตตัวนั้น มีแต่ระบบกลไกของยีนที่ถูกโปรแกรมไว้แล้วทั้งหมด มันก็ไม่สามารถจะมีการดัดแปลงตนเองให้มีการวิวัฒนาการเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อมได้ ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเช่น ลมฟ้าอากาศ เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปรอยู่เสมอไม่มีอะไรแน่นอน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นไปตามบุญตามกรรม ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติเกิดขึ้นมาก สิ่งมีชีวิตที่มีระบบกลไกควบคุมของยีนที่ถูกโปรแกรมไว้หมดแล้ว ก็จะหมดโอกาสที่จะอยู่รอดต่อไปได้ ในทางกลับกันนี้ สิ่งมีชีวิตที่มีแต่ยีนเนติกที่ยังไม่ได้โปรแกรมอยู่ทั้งหมด ก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้เช่นกัน พฤติกรรมที่ดัดแปลงได้ จะต้องผ่านขั้นตอนการเรียนรู้โดยการลองผิดลองถูก (trial and error) ซึ่งเสี่ยงต่ออันตราย ข้อผิดพลาดต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่วิถีทางที่ดีและเหมาะสมที่สุด
ระบบกลไกแห่งพฤติกรรมที่ดัดแปลงได้นี้ นำไปสู่การวิวัฒนาการแตกแยกไปเป็นกิ่งก้านสาขาของสิ่งมีชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ อีกมากมาย มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดไปจากรูปเดิมโดยชิ้นเชิง และที่ยังคล้ายกับรูปเดิมก็มี พฤติกรรมเหล่านี้เป็น การคัดเลือกของธรรมชาติ (natural selection) ที่สร้างเผ่าพันธุ์ของสัตว์หลายแสนหลายล้านพันธุ์ให้เกิดขึ้น แต่ละพันธุ์ก็มีอัตราส่วนของยีนเนติกทั้งสองแบบแตกต่างกันไป เผ่าพันธุ์ที่มีความฉลาดมากแท้ที่จริงก็คือสิ่งมีชีวิตที่มีระบบกลไกควบคุมแบบยีนที่ยังไม่มีโปรแกรมมากกว่ายีนถูกโปรแกรมไว้แล้ว ตัวอย่างเช่น มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ของสัตว์บกเลี้ยงลูกด้วยนมที่มีระบบกลไกควบคุมการวิวัฒนาการเป็นยีนแบบที่ถูกโปรแกรมแล้วน้อยมาก


วงศ์วานแห่งเอกภพ...(4)
......... สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามีความฉลาดชั้นสูงไม่จำเป็นจะต้องมีความเจริญเป็นรูปแบบสังคมขึ้นมา เพราะบางชนิดไม่มีอวัยวะสำหรับการใช้งานแบบสารพัดอย่างได้ เช่นปลาโลมา ปลาวาฬเพชฌฆาต (Killer Whale) นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเฉลียวฉลาดมาก การค้นคว้าปัจจุบันเชื่อว่าปลาโลมา มีความฉลาดเกือบเท่าคน แต่ความฉลาดนี้เป็นไปคนละรูปแบบกับมนุษย์ ดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่มีความเฉลียวฉลาดแต่ไม่มีอวัยวะสำหรับการใช้งานจึงไม่สามารถใช้เครื่องมือผ่อนแรง หรือประดิษฐ์สร้างเครื่องมือผ่อนแรงขึ้นใช้ได้ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จึงไม่มีเทคโนโลยี......
..... สิ่งมีชีวิตที่มีความเฉลียวฉลาด และมีอวัยวะสำหรับใช้งานได้สารพัดอย่าง เช่น มือมนุษย์ เป็นอวัยวะที่สำคัญสามารถใช้งานได้สารพัดอย่าง นับแต่หยิบท่อนไม้ขนาดใหญ่ ไปจนถึงงานละเอียดอย่างเช่นการสนเข็มก็จะรู้จักใช้เครื่องมือ และประดิษฐ์เครื่องมือ นำไปสู่การมีเทคโนโลยี เมื่อเทคโนโลยีเจริญสูงขึ้น นาน ๆ เข้าความสามารถในการใช้เครื่องมือจนชำนาญก็ถ่ายทอดลงไปในยีนจนกลายเป็นลักษณะสันดานแห่งความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์นั้น ตัวอย่างของเผ่าพันธุ์ที่ว่านี้ได้แก่ มนุษย์บนพื้นพิภพโลก... เด็กรุ่นใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคศตวรรษที่ 20 นี้จะเริ่มรู้จักการใช้เครื่องมือเพื่อช่วยตัวเองโดยเกิดขึ้นเพราะการเลียนแบบจากผู้ใหญ่
...... การพัฒนาทางเครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัย เผ่าพันธุ์ที่มีเทคโนโลยีจะค่อย ๆ หลุดพ้นไปนอกขอบเขตบังคับของสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน เผ่าพันธุ์ที่มีเทคโนโลยีสูงจะมีอำนาจเหนือเผ่าพันธุ์อื่น ๆ และการสร้างเครื่องมือมือที่ทรงอำนาจก็จะเพิ่มพลังให้แก่เผ่าพันธุ์นั้นมากขึ้น ในที่สุดเผ่าพันธุ์ที่มีเทคโนโลยี่ก็จะครอบครองอำนาจเหนือสิ่งมีชีวิตอื่นใดในอาณาจักรแห่งการวิวัฒนาการร่วมกัน (biosphere) และเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชัยชนะเหนือศัตรูของมัน อันยังผลให้มีจำนวนของสมาชิกในเผ่าพันธุ์เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่มีขอบเขต แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า เพราะการพัฒนาทางเทคโนโลยี่ จะเป็นการเร่งให้พุ่งไปสู่การทำลายตัวเองของเผ่าพันธุ์ในที่สุด
..... เมื่อสัตว์ที่มียีนซึ่งถูกโปรแกรมแล้ว ต่อสู้เพื่อความเป็นเจ้าของถิ่น เพื่อตัวเมีย เพื่อแย่งอาหาร จะสังเกตเห็นได้ว่า " การต่อสู้ " ของมันเป็นไปอย่างมีรูปแบบค่อนข้างตายตัว ศัตรู หรือผู้พ่ายแพ้มักจะไม่ถูกสังหาร หรือไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งนี้เพราะผู้ชนะได้ถูกโปรแกรมไว้แล้วในพฤติกรรมการต่อสู้ให้หยุดต่อสู้เมื่อฝ่ายตรงข้ามถอยหรือยอมแพ้..... พฤติกรรมเช่นนี้จะพบเห็นในสัตว์ป่าส่วนใหญ่ มันไม่ใช่ความเมตตากรุณาในจิตใจของสัตว์เหล่านั้น แต่มันเป็นพฤติกรรมที่ถูกโปรแกรมตายตัวเอาไว้แล้วในยีนเรียกว่า " สัญชาตญาณ " หรือความรู้ที่ถูกควบคุมมีมาแต่กำเนิด ถ่ายทอดกันมาจากต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์ของมัน.


วงศ์วานแห่งเอกภพ...(5)
........ พฤติกรรมการต่อสู้ในสัตว์ที่มียีนซึ่งไม่มีโปรแกรมอยู่มากจะไม่เหมือนกัน เช่น ในมนุษย์ ลิงบางชนิด ปลาโลมา การต่อสู้มักจะไม่เป็นแบบแผนที่มีกำหนดตายตัว การต่อสู้จะไม่ยุติจนกว่าฝ่ายตรงข้ามจะถูกฆ่าจนสิ้นซาก ในเผ่าพันธุ์ที่มีความฉลาดบางครั้งผู้ชนะจะยินยอมปลดปล่อยฝ่ายตรงข้ามให้รอดชีวิตไปเพราะความสงสาร หรือความกรุณา แต่ไม่ใช่ด้วยสัญชาตญาณ ด้วยเหตุที่ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความฉลาด และสามารถปรับตัวเองได้ง่าย สัตว์ชนิดนี้จึงสามารถสร้างเหตุผลในความนึกคิดของมันเพื่อการฆ่าด้วยเหตุต่าง ๆ กันได้ บางครั้งเราจะพบว่าด้วยเหตุผลอันสลับซับซ้อน มันจะจับศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามมากักขังทรมานแทนการฆ่าให้ตายไป เช่นสัตว์จำพวก " มนุษย์ " เป็นสัตว์โลกชนิดเดียวที่มีพฤติกรรมเช่นว่านั้น มนุษย์จับศัตรู หรือเหยื่อมากักขังทรมานแทนการฆ่า เพราะว่ามนุษย์ไม่มีสัญชาตญาณที่ถูกโปรแกรมไว้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อศัตรู หรือเหยื่อของมัน จึงต้องอาศัยการเรียนรู้โดยการทดลองวิธีการใหม่ ๆ ในการ " ฆ่า " อยู่เสมอ มนุษย์เป็นสัตว์โลกเผ่าพันธุ์เดียวที่มีเทคโนโลยี และเป็นเผ่าพันธุ์ที่อันตรายที่สุดในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย ด้วยความฉลาด และความสามารถของอวัยวะที่ใช้งานได้สารพัดอย่าง และด้วยเทคโนโลยี เผ่าพันธุ์นี้จึงมีการแข่งขันกันในตัวเอง และเป็นเผ่าพันธุ์ที่ดุร้ายที่สุด แต่ด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีของมนุษย์ มี การป้อนกลับ (feed back) และด้วยเหตุที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความสามารถในการเรียนรู้ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว มนุษย์จึงวิวัฒนาการไปสู่ความเป็นเผ่าพันธุ์ที่เป็นปรปักษ์ ต่อสู้ขัดแย้งกันในเผ่าพันธุ์ของตัวเอง
......... ถ้าจะมองกันในแง่ของเครื่องจักรกลอันสลับซับซ้อน เผ่าพันธุ์มนุษย์เปรียบเสมือนระบบกลไกที่มีกำลังช่วยผ่อนแรง หรือเป็นเครื่องจักรจำพวก " เซอโวเมคคานิสติค " (Servomechanistic) เผ่าพันธุ์ที่มีเทคโนโลยีมักจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่มั่นคง และถ้ามีเทคโนโลยี่สูงมาก ๆ เผ่าพันธุ์นั้นก็จะมีความเป็นปรปักษ์ต่อสู้ขัดแย้งในตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะการป้อนกลับของเทคโนโลยีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ถ้าการขัดแย้งเป็นปรปักษ์ต่อสู้กับตนเอง (conflict) มีมาก เผ่าพันธุ์นั้นก็จะพบจุดจบ คือ การทำลายตัวเอง (biospheric explosion) ด้วยเทคโนโลยีของตัวเอง แต่ถ้าการขัดแย้งเป็นปรปักษ์กับตนเอง และการป้อนกลับทางเทคโนโลยีสามารถที่จะระบายออกทิ้งไปได้ เพื่อลดการขัดแย้งในตัวเองก็จะทำให้เผ่าพันธุ์ที่มีเทคโนโลยีนั้นรอดพ้นจากความหายนะทำลายตนเองไปได้
...... แต่การลดความสามารถในการปรับตัว หรือลดจำนวนยีนที่ยังไม่มีการโปรแกรมเพื่อการควบคุมพฤติกรรมนั้น เท่ากับเป็นการลดความเฉลียวฉลาดลงไปด้วย เป็นการก้าวถอยหลังบนเส้นทางแห่งวิวัฒนาการ ในทางหลักของยีนเนติกส์แล้ว การก้าวถอยหลังจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ดังนั้น เผ่าพันธุ์ที่มีเทคโนโลยีที่เจริญสูงมาก ๆ ก็หมายถึงเผ่าพันธุ์ที่ได้ก้าวข้ามมาตามเส้นทางแห่งวิวัฒนาการบนถนนวันเวย์ ไม่มีโอกาสจะหันหลังกลับได้อีกแล้ว เผ่าพันธุ์นี้จะต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ไปสู่ความหายนะแห่งอาณาจักรชีวิภาคของตัวเอง สำหรับมนุษย์ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งที่เดินมาตามถนนแห่งการวิวัฒนาการนี้เช่นกัน ก็อาจจะกำลังก้าวเข้าสู่ความพินาศในช่วงระยะเวลาอีกประมาณ 50 ปีข้างหน้านี้
....... เส้นทางการวิวัฒนาการของมนุษย์กำลังสิ้นสุดลงแล้ว และคงจะถึงสุดถนนในช่วงอายุของผู้อ่านนี้เอง นี่คือความสิ้นสุดของขั้นตอนที่ 5 ของการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตโดยกฎของธรรมชาติ (The Natural Selection ). 

วงศ์วานแห่งเอกภพ...(6)
ขั้นที่ 6 ของการวิวัฒนาการ อาจจะมีหรือไม่มีขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์ที่มีเทคโนโลยี่จะทำให้เกิดขึ้นหรือไม่เท่านั้น ถ้ามันถูกทำให้เกิดขึ้นการวิวัฒนาการขั้นที่ 6 ก็จะเป็นการวิวัฒนาการที่ปรกติธรรมดาอย่างยิ่ง มันจะต้องเป็นการเปลี่ยนทิศทางไปสู่ถนนสายใหม่ เป็นถนนที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยความฉลาดของเผ่าพันธุ์นั้นเอง มันจะเกี่ยวข้องกับระบบควบคุมภายในของเผ่าพันธุ์การควบคุมจะเกิดขึ้นโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับยีนที่ไม่มีโปรแกรม และจะต้องไม่ใช่การโปรแกรมยีนใหม่อีกด้วย การควบคุมตนเองอย่างแน่นหนาและเด็ดขาด จะต้องทำให้เกิดขึ้น เพื่อลดความขัดแย้งในตัวเองของสังคมซึ่งนำไปสู่การทำลายล้างเผ่าพันธุ์ และในขณะเดียวกันก็จะต้องไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับการควบคุมยีนเลย เพราะถ้ายีนถูกโปรแกรมความฉลาดจะลดลง.....การควบคุมตนเองด้วยตนเองนี้คือปัญหาใหญ่ยิ่งของโลกมนุษย์ สังคมมนุษย์ทั้งโลกพยายามอย่างยิ่งที่จะหาวิธีการ ขบวนการ ระเบียบการ เพื่อนำมาทดลองใช้ให้ได้ผล ระบบการเมือง ระบบการปกครอง ระบบการบริหาร ระบบประเพณีทางสังคม ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ระบบประชาธิปไตย ระบบคอมมิวนิสต์ ระบบเผด็จการ ระบบศาสนา ฯลฯ เหล่านี้คือขบวนการที่จะนำมาใช้ควบคุม แต่ก็ยังไม่มีวิธีการใดที่ใช้ได้ผลเลย แม้แต่อย่างเดียว การทดลองยังคงดำเนินต่อไป....ถ้ามนุษย์ค้นพบวิธีการควบคุมนั้นได้ ก่อนที่ความขัดแย้งในตัวเองของสังคม จะถึงจุดระเบิด เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะรอดจากความหายนะที่ทำลายตัวเองตามกฎของธรรมชาติ
ความจริงทางออกของปัญหานี้มีอยู่ทางเดียว เป็นคำตอบที่ง่าย แต่เป็นการปฏิบัติที่ยากและต้องอาศัยเทคโนโลยีที่สูงมากเท่านั้นจึงจะทำได้...." ถ้ามนุษย์ทุกคนเป็นประชาชนที่สมบูรณ์แบบ มีหลักประพฤติอย่างเดียวกัน มีพฤติกรรมอย่างเดียวกัน มีความรักซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน ปัญหาทั้งหมดก็สิ้นสุดลง"....... นี่คือคำตอบที่มนุษย์ปัจจุบันคิดกันและพยายามจะสั่งสอนให้กระทำกัน เป็นการปลูกฝัง แต่มันไม่ใช่การควบคุมที่ตายตัว คนโง่เท่านั้นที่จะยอมเชื่อว่าการสั่งสอนปลูกฝังเช่นนั้นเป็นทางออกที่สมบูรณ์แบบ เพราะยังมีคำถามอีกข้อหนึ่งตามมา...
เราจะรู้ได้อย่างไรกันว่าเขาเป็นคนที่มีแต่ความรัก ความเอื้อเฟื้อ เมตตากรุณา เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าเขาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ถึงซึ่งความเป็นมนุษย์"......ปัญหาเหล่านี้ยังคงมีอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ เพราะความขัดแย้งในตัวเองยังไม่ได้ถูกขจัดให้หมดไป.....

กฎหมาย หลักตรรกศาสตร์ หลักปรัชญาเมธี หลักศาสนา หลักการเชื่อถือในลัทธิต่างๆ ความรัก การข่มขู่ เงินทอง ลาภยศ สรรเสริญ ลูกปืนและการลงคะแนนออกเสียง ฯลฯ......เหล่านี้ไม่เคยใช้ได้ผลในการควบคุมให้มนุษย์เป็น " มนุษย์ที่สมบูรณ์ " ได้เลย มนุษย์ได้ทดลองใช้สิ่งเหล่านี้ และวิธีการต่างๆมากมาย แต่ก็ยังไม่พบคำตอบอันแท้จริง......ทางออกจริงๆนั้นคืออะไร ? มีหรือไม่ ถ้ามี
มนุษย์จะหาพบได้ทันการหรือไม่ ? เป็นสิ่งที่มนุษยชาติกำลังเผชิญหน้าอยู่อย่างไม่รู้ตัว... คำตอบนั้นมีอยู่ !

ทางออกที่เป็นไปได้ทางเดียวคือ การเชื่อมสมองของมนุษย์ทุกคนเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้เป็น " มหาสมอง " (Super brain) มันเป็นการรวมมนุษย์ทั้งหมดให้กลายเป็น  “สิ่งมีชีวิตอันเดียวกัน” 


วงศ์วานแห่งเอกภพ...(7)
........... สิ่งต่าง ๆ ที่สะสมไว้ในจิตใต้สำนึกจะต้องถูกรื้อถอนออกมาร่วมให้กลายเป็นหน่วยเดียวกัน และกลายเป็นจิตสำนึกเดียวกัน แต่ทว่ามนุษย์ แต่ละคนก็ยังคงเป็นอิสระ เป็นบุคคล เป็นตนเองอยู่อย่างเดิมด้วยการเชื่อมโยงเฉพาะสมองระบบความคิด และประสาทความรู้สึกนึกคิดบางส่วนเท่านั้นที่จำเป็น การเชื่อมต่อสมองต้องทำด้วยเทคโนโลยีโดยการฝังระบบสื่อสารที่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยตลอด ทั่วถึงกันทุกตัวคน และโดยที่ไม่ให้มีผลกระทบกระเทือนข้างเคียงใด ๆ เกิดขึ้น.... ปรากฏการณ์มหัศจรรย์จะเกิดขึ้นถ้าการเชื่อมต่อความนึกคิด และการทำงานของสมองมนุษย์สามารถทำได้สำเร็จ ความรู้สึกนึกคิดจะกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยไม่มีเวลาที่แตกต่างกันระหว่างบุคคลสองคน ความมีชีวิต ความรู้สึกในความเป็นตัวเป็นตน (อัตตา หรือ Ego) และบุคลิกภาพหรือบุคลิกลักษณะส่วนจำเพาะตน ที่แต่เดิมมีอยู่มากมายแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล จะรวมหล่อหลอมเข้าด้วยกันและกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเผ่าพันธุ์ถูกหลอมให้กลายเป็นตัวตนอันหนึ่งอันเดียวกัน ความขัดแย้งในสังคมก็หมดไป
.............. ตัวอย่างเช่น สมมุติว่า " คุณ " กับ " ผม " สามารถเชื่อมสมองความรู้สึกนึกคิดเข้าเป็นอันเดียวกันได้ " เรา" ก็จะไม่พบปัญหาข้อขัดแย้งซึ่งกันและกันเลย เพราะ " เรา" คือสิ่งเดียวกัน นั่นคือ..... ไม่มีเรา .... ไม่มีคุณ.... มีแต่ " ผม" คนเดียวที่เหลืออยู่ " ผม " ไม่สามารถฆ่า หรือคิดทำลายตัวผมเองได้ ความขัดแย้งจึงไม่มี.... ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่กล่าวมานี้มีจริง และพิสูจน์ได้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องดูอื่นไกล มันอยู่ที่หัวกะโหลกของมนุษย์ทุกคน....... สมองของคนแบ่งออกเป็นสองส่วน สมองซีกซ้ายกับสมองซีกขวา ทั้งสองซีกทำงานแยกจากกันอย่างเป็นอิสระโดยสิ้นเชิง ยกเว้นก้อนเซลประสาทก้อนใหญ่ที่เป็นตัวเชื่อมโยงมันสมองสองข้างเข้าด้วยกัน ก้อนเซลประสาทนี้มีชื่อเรียกว่า " corpus callosum " มันสมองซีกซ้ายควบคุมออกคำสั่งร่างกายซีกขวา ส่วนมันสมองซีกขวาควบคุมออกคำสั่งร่างกายซีกซ้ายทั้งหมด สมองสองก้อนทำงานร่วมกันได้อย่างกลมกลืน.... ไม่เคยปรากฏว่าร่างกายซีกซ้ายทะเลาะกับร่างกายซีกขวา หรือว่าร่างกายซีกขวาพยายามแก้แค้นร่างกายซีกซ้าย เมื่อซีกซ้ายทำผิด....... ในความเป็นจริง จะมีสมองเพียงซีกเดียวที่ครองความเป็นใหญ่ และทำงานหนักมากที่สุด โดยทั่วไปสมองซีกซ้ายจะเป็นใหญ่ เมื่อมีสมองซีกใดออกคำสั่งก็จะมีสัญญาณบอกให้สมองอีกซีกรับทราบ ไม่ให้เกิดการขัดแย้งกันขึ้น ความเร็วของสัญญาณเป็นตัวเชื่อมต่อให้สมองสองข้างทำงานประสานกันเหมือนหนึ่งว่ามีสมองเพียงอันเดียว เปรียบได้กับการฉายภาพยนตร์ ภาพแต่ละภาพวิ่งมาหยุดในชั่วระยะเวลาอันสั้นมาก (ประมาณ 22 ภาพ/วินาที) จะทำให้ดูเหมือนว่าภาพเหล่านั้นไม่ใช่ภาพนิ่ง แต่กลับเป็นภาพที่มีชีวิตชีวาเคลื่อนไหวได้
.......กล่าวโดยสรุปแล้วในร่างของคนคนหนึ่ง ก็มีสมองอยู่สองก้อน แต่ละก้อนก็เป็นตัวของมันเอง แต่มันสามารถทำงานร่วมกันเป็นเสมือนมันสมองก้อนเดียวกันได้ก็โดยการทำงานในระบบ " อินทิเกรท " (Integrated consciousness) มีเซลประสาท corups callosum ทำหน้าที่เป็นเครื่องเชื่อมต่อสื่อสารให้แก่สมองทั้งสองส่วนนั่นเอง มันคือตัวเชื่อมโยงที่ทำให้สมองสองส่วน สองบุคลิก กลายเป็นสมองที่มีบุคลิกอันเดียว
............. ใครก็ตามที่สามารถยกมือของตนทั้งสองข้างชูขึ้น แล้วพิจารณาดูให้ดีก็จะพบว่า ความรู้สึกของการมีมือทั้งสองข้างนั้นต่างกัน มันเป็นมือคนละข้าง เป็นมือที่แยกจากกัน ไม่ใช่มือเดียวกัน แต่มือทั้งสองเป็นของเขา ซึ่งเป็นบุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามือแต่ละข้างควบคุมโดยสมองคนละซีก ซึ่งไม่ใช่สมองก้อนเดียวกัน..... สภาวะเช่นเดียวกันนี้จะเกิดขึ้น เมื่อสมองของมนุษย์ถูกเชื่อมต่อกัน มนุษย์นับร้อยนับล้านคนจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือจะพูดได้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีเพียงบุคลิกเดียวเท่านั้น คือ " มนุษยชาติ "


วงศ์วานแห่งเอกภพ...(8)

การเชื่อมต่อสมองมนุษย์ทั้งโลกเข้าด้วยกัน เป็นเรื่องของเทคโนโลยีชั้นสูง และยุ่งยากที่สุด แต่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือความสามารถที่จะเป็นไปได้ และมันเป็นวิถีทางเดียวที่จะแก้ปัญหาการทำลายตัวเอง เพราะความขัดแย้งในเผ่าพันธุ์มนุษย์อันเกิดจากการป้อนกลับทางเทคโนโลยี และการเป็นสัตว์โลกที่มียีนที่ไร้โปรแกรมมากที่สุด ทั้งนี้โดยไม่ต้องเข้ายุ่งเกี่ยวกับการดัดแปลงยีนในตัวเองซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นการลดความฉลาด หรือลดระดับความสามารถในการปรับตัว ลดความสามารถทางสติปัญญาลงไปเลย
เทคโนโลยีในการเชื่อมต่อสมองมนุษย์ได้รับการวิจัยกันแล้วในรัสเซีย มันอาจจะเป็นก้าวแรกที่ช้าเกินไป แต่ก็เป็นก้าวสำคัญที่สุดซึ่งแสดงให้เห็นหนทางที่เป็นไปได้ การค้นคว้าทาง "วิทยุชีวะภาค"
(biological radio communication) กำลังอยู่ในการทดลองโดยคณะนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย คาซินสกี้ ลิซิทซิน (Cazhinskiy Lisitsyn) ผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย เปิดเผยการค้นพบสนาม แม่เหล็กไฟฟ้าของชีวภาค (bioelectromagenetic) และการแผ่ของคลื่นชีวภาค (bioradiation waves) ทั้งคนและสัตว์ต่างมีสนามพลังชีวิตแผ่ออกมา และมันสามารถจะเชื่อมต่อเข้ากับเครื่อง
มือที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อจับสนามชีวิตเหล่านั้นมาขยาย และแปลความหมายออกมาได้
คลื่นชีวิตของมนุษย์แผ่ออกมาจากระบบประสาทจะมีขนาดคลื่นประมาณ 1.8 ถึง 2.1 มิลลิเมตร ได้ถูกค้นพบมานานแล้วตั้งแต่สมัยปี พ.ศ. 2483 ปัจจุบันทฤษฏีการติดต่อโดยตรงกับสมองส่วนที่ควบคุมร่างกายไร้สำนึก ( เช่น ระบบการย่อยอาหาร หัวใจเต้น) ด้วยคลื่นอีเลคโตรแมกเนติคสามารถกระทำได้สำเร็จไปแล้ว ทั้งนี้โดยอาศัยหลักการที่เรียกว่า "ฮีสเทอรีซิส" ของสมองและระบบประสาท (Hysteresis) คือหลักการที่ว่าประสาทจะส่งผลตอบสนองสะท้อนกลับในช่วงเวลาหนึ่งภายหลังจากการที่มันถูกกระตุ้นอย่างถูกต้องจากสิ่งเร้าภายนอก หลักการนี้ได้นำมาใช้อย่างได้ผล ในการติดต่อสื่อสารกับสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานของร่างกายที่ไร้สำนึก (Subliminal brain).....ความทรงจำและการรื้อฟื้นความจำจากจิตใต้สำนึก ก็สามารถกระทำได้ โดยวิธีการติดต่อโดยตรงด้วยหลักการฮีสเทอรีซีสนี้เช่นกัน และโดยธรรมชาติความเป็นจริง สมองเองก็ใช้วิธีนี้กระตุ้นตัวมันเอง เมื่อต้องการรื้อฟื้นความจำ
เมื่อใดก็ตามที่ความรู้สึกนึกคิดของสมองสามารถเชื่อมโยงกันได้ ปัญหาของมวลมนุษย์กับมวลมนุษย์ก็หมดไป คนทั้งหมดจะกลายเป็นผู้มีความรู้สึกนึกคิดอันเดียวกัน เป็นมนุษย์ชาติเดียวกัน ไม่มีเขา
มีเราไม่มีพวกโน้นพวกนี้ มีเพียงหนึ่งเดียวคือ "มนุษย์ชาติ" เมื่อนั้นเผ่าพันธุ์มนุษยชาติก็กลายเป็น " อินทิเกรทบีอิ้ง " (integrated being) เขาจะไม่รู้จักการโกง ข่มเหงรังแก ขโมย ฆ่าฟัน โกหก อิจฉาริษยา แก่งแย่ง ข่มขืน เพราะทุกคนคือ " ตัวเขาเอง " ทั้งสิ้น

วงศ์วานแห่งเอกภพ...(9)
การวิวัฒนาการในระดับที่ 6 นี้สิ่งมีชีวิตที่มีเทคโนโลยีสูงพอ และเป็นผู้ค้นพบการเชื่อมความนึกคิดของสมองเข้าด้วยกันได้เท่านั้น จึงจะรอดจากความหายนะในบั้นปลายของการวิวัฒนาการระดับที่ 5 มาได้ สำหรับมนุษย์โลก หากหลุดพ้นจากบั้นปลายของระดับที่ 5 มาได้ก็คงเรียกได้ว่าย่างเข้าสู่ "ยุคพระศรีอาริย์"
.........ในปัจจุบันซึ่งนับว่ามนุษยชาติกำลังอยู่ในบั้นปลายของระดับที่ 5 แห่งวิวัฒนาการทางยีนเนติก อัตราการเกิดของมนุษย์โลกมีมากกว่าอัตราการตาย ในช่วงปี พ.ศ. 2480 ถึงปัจจุบัน พ.ศ. 2523
พบว่ามีเด็กเกิดใหม่มีคุณลักษณะพิเศษผิดไปจากมนุษย์ธรรมดาเป็นจำนวนมาก เด็กพิเศษเหล่านี้มีความสามารถพิเศษเหนือคนธรรมดาติดตัวมาด้วย เช่นในด้านความนึกคิด และสติปัญญาการคิดหาเหตุผล และการมองโลกของเขาก็ผิดจากคนอื่น ๆ ในยุครุ่นบิดามารดาของพวกเขา ที่สำคัญคือเด็กประหลาดพวกนี้ มีความสามารถทางพลังจิตสูงผิดปรกติ ส่วนใหญ่จะมีความสามารถทาง " พีเค" มาแต่กำเนิด (PK- ย่อมาจาก Psycho kinesis) หมายถึง การส่งพลังจิตออกไปบังคับควบคุมวัตถุต่าง ๆ ให้เกิดการเคลื่อนที่ได้ เรียกได้ว่า อำนาจจิตเหนือเทหวัตถุ) เด็กพวกนี้ในกลุ่มของเขาเองจะแสดงออกซึ่งความมีจินตนาการอันแปลกประหลาด บางคนมีแววของ " อีเอสพี " (ESP - ย่อมาจาก Extra Sensory Preception) หมายถึง ความสามารถพิเศษในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ โดยไม่ต้องอาศัย หู ตา จมูก ลิ้น สัมผัส หรืออาจเรียกได้ว่ามีประสาทที่หกในการรับรู้ก็ได้ เช่น อ่านใจคนได้ มองเห็นในสิ่งที่ตาไม่เห็น เด็กพวกนี้เกิดมากในยุโรปตอนเหนือ
.....เด็กพิเศษเหล่านี้อาจเป็นวิวัฒนาการอีกชั้นหนึ่งของมนุษยชาติก็ได้ เป็นการวิวัฒนาการก้าวไปสู่ระดับที่ 6 ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้าช่วย การสื่อสารระหว่างสมอง การเชื่อมโยงความรู้สึกนึกคิดของสมองอาจเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีการทาง " ไซโคจีเนติก " เชื่อมต่อกันด้วยพลังเร้นลับทางจิตที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่รู้จักก็ได้ 
......................

บทที่ 14...วิทยาศาตร์ล้ำยุค จากหนังสือจานบินวิเคราะห์

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค


จากหนังสือ จานบินวิเคราะห์  บทที่ 14 วิทยาศาสตร์ล้ำยุค

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(1)
เรื่องการเข้าทรง เรื่องจิตวิญญาณ ดูจะเป็นเรื่องเก่า ที่ตกอยู่ในลัทธิความเชื่อแบบงมงาย เพ้อฝัน เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องที่มนุษย์ยุคปัจจุบันและนักวิทยาศาสตร์ยุคอวกาศนี้ไม่ยอมรับ ยุคนี้เป็นยุคอวกาศ เป็นยุคที่เทคโนโลยี่ด้านต่างๆ เจริญสูงขึ้นมากแล้ว การจะยอมรับอะไรก็ต้องมีการพิสูจน์ตรวจสอบกันด้วยหลักวิชาด้วยหลักการวิทยาศาสตร์ เราจึงจะยอมรับ สิ่งใดที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ สิ่งนั้นถือว่าไม่จริง เป็นเรื่องโกหกเหลือจะเชื่อได้ เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น และนี่คือบุคลิกของมนุษย์ในยุคใหม่ที่ได้รับการปลูกฝังกันมาให้มีบุคลิกเช่นนั้นโดย
" ลัทธินิยมทางวิทยาศาสตร์ ในโลกของวัตถุนิยม" มันเป็นการยากที่จะหาพบบุคคลที่อยู่นอกเหนือลัทธินิยมดังกล่าวในโลกปัจจุบัน
มีคนจำนวนน้อยที่รู้ว่า " วิทยาศาสตร์ " เป็นเพียงการศึกษาข้อเท็จจริงของธรรมชาติเพียงแขนงกิ่งย่อยๆ แห่งต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเป็นธรรมชาติอันแท้จริงของเอกภพ วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังอยู่ห่างไกลจากโคนลำต้น และรากเหง้าของความจริงแห่งธรรมชาติมากนัก สำหรับเรื่องทางจิตวิญญาณ และภูตผีปีศาจอำนาจเร้นลับที่ดูคล้ายกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ (ในสายตาของวิทยาศาสตร์) เรื่องไสยศาสตร์ เรื่องอำนาจจิต เรื่องการติดต่อทางจิต การเข้าทรง เหล่านี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องของสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องความเชื่องมงายเพ้อฝัน ไม่ใช่เรื่องโกหกแต่มันเป็นเรื่องจริง และมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ....ธรรมชาติอีกกิ่งหนึ่งที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไต่ไปไม่ถึง และก็เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่มนุษย์ถูกปลูกฝังโดยลัทธินิยมโบราณของวิทยาศาสตร์ไปเสียแล้วเหมือนกับที่ ดร.ไฮเนคเคยกล่าวเอาไว้ว่า.... " ถ้าจะใช้หลักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันมาพิสูจน์ว่ายูเอฟโอมีจริง เราจะต้องรอ รอจนกว่ามนุษย์ต่างดาวจะลงมาเคาะประตูบ้าน แล้วบอกว่า....ผมมีตัวจริงๆ นะ..."

หรือเหมือนกับที่ ดร.แวลลี่เคยกล่าวเอาไว้ว่า....
" วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังสูงไม่พอ ยังมีวงที่แคบเกินไปสำหรับการที่จะนำเอามาให้เป็นหลักการในการพิสูจน์ว่า ยูเอฟโอมีจริง...เราต้องการหลักการใหม่ที่ก้าวกระโดดไปไกลกว่าวิทยาศาสตร์ เราต้องการหลักการที่ล้ำยุคไปกว่านี้ และเราต้องการวิธีการใหม่ทั้งหมด สำหรับการพิสูจน์เรื่องยูเอฟโอ" ...หลักการใหม่ วิธีการใหม่นั้นเราจะหามาจากไหน ?

ใครจะเป็นคนคิดขึ้นมาใหม่ได้
?

นี่คือปัญหาใหญ่...แต่แท้ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปคิดหรือแสวงหามาจากไหนเลย แต่สาเหตุใหญ่ที่ไม่มีใครมองเห็นก็เพราะความงมงายตกอยู่ในลัทธินิยมโบราณของวิทยาศาสตร์โดยไม่รู้ตัว หลักการที่ใช้ได้ดีและแน่นอนนี้ มีผู้ค้นพบมานานแล้วถึง
2523 ปี ผู้ค้นพบนี้มีชื่อว่า " พระพุทธโคดม" หรือที่เราชาวประชายุคปัจจุบันเรียกว่า " พระพุทธเจ้า"



 
วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(2)

พวกหัววิทยาศาสตร์คงส่ายหน้าเมื่ออ่านมาถึงตอนนี้....ทั้งนี้เพราะเขาเหล่านั้นยังมีบุคลิกของลัทธิวิทยาศาสตร์โบราณฝังแน่น นักวิทยาศาสตร์ผู้เก่งกล้า อาจจะข้าใจว่า E=mc ยกกำลัง 2 หมายความว่าอย่างไร แต่เขาอาจไม่เข้าใจเลยว่า E (E หมายถึงพลังงาน) ตัวนี้เป็น "พลังงานทุติยภูมิ" (Secondary Energy) นักวิทยาศาสตร์อาจพิสูจน์ได้ว่า E = mc ยกกำลัง 2 หมายถึง "พลังงานเป็นปัจจัยทำให้เกิดมวลสาร มวลสารเป็นปัจจัยให้เกิดพลังงาน"  ซึ่งนั่นเป็นการพิสูจน์อยู่ในโลกของวัตถุนิยม แต่เขาอาจไม่เข้าใจเลยว่า "วิญญาณเป็นปัจจัยทำให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ" ในเรื่องราวความรู้ และคำสอนในพระไตรปิฎก มีหลายตอนที่กล่าวถึงเรื่องของธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันเพิ่งค้นพบ และที่ยังค้นไม่พบ

.....โดยแท้จริงแล้วหลักการในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ศาสนา ไม่ใช่ปรัชญา แต่มันเป็น "ศาสตร์" เป็นวิทยาศาสตร์เต็มตัว ซึ่งสามารถอธิบายความจริงในธรรมชาติของเอกภพนี้ และของเอกภพอื่นได้หมด ความรู้และความจริงในพุทธศาสนา ไม่ใช่ลัทธิสั่งสอนที่งมงาย แต่มันเป็นหลักการและทฤษฎีที่ครอบคลุมสภาวะธรรมชาติโดยสมบูรณ์ มีเนื้อหาสาระที่กว้างไกลกว่าวิทยาศาสตร์ปัจจุบันจะหยั่งถึง มันคือวิทยาศาสตร์ล้ำยุคเหนือกาลเวลา หลักพุทธศาสนาเน้นการตรวจสอบ (Verification) ด้วยตนเองให้รู้แจ้งเห็นจริง เหนือไปกว่าการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าเน้นการพิสูจน์ให้เห็นจริงแจ้งชัด ห้ามการเชื่อฟังตามกันมา ห้ามการเชื่อข่าวลือ ห้ามเชื่อถือเพราะเป็นลัทธิวัฒนธรรม ห้ามเชื่อตำรา ไม่ให้เชื่อเพราะการคาดเดาตามหลักตรรกวิทยา ห้ามเชื่อจากคำพูดของผู้พูดที่น่าเชื่อถือ เช่น ครูบาอาจารย์ สิ่งเดียวที่จะเชื่อได้คือ ต้องเข้าทำการพิสูจน์วิเคราะห์ด้วยตัวเองเท่านั้น

นอกจากนี้แล้วพุทธศาสนายังกล่าวถึงเรื่องราวที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับโครงสร้างจักรวาล ทั้งจักรวาลนี้ และจักรวาลอื่น ๆ กล่าวถึงกำเนิดของมนุษย์ กล่าวถึงวิทยาศาสตร์ในสาขานิวเคลียร์ฟิสิกส์ชั้นสูง กล่าวถึงพลังงานที่มีทั้ง "พลังงานปฐมภูมิ (Primary Energy)" และ "พลังงานทุติยภูมิ (Secondary Energy)" กล่าวถึงการใช้พลังงานปฐมภูมิควบคุมมวลสาร กล่าวถึงวิธีการส่งสัญญาณโทรคมนาคมที่อยู่เหนือกาลเวลา กล่าวถึงการเดินทางข้ามมิติภพ กล่าวถึงการสร้างยานวิถีขับเคลื่อนด้วยพลังงานปฐมภูมิเพื่อเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสง สามารถทะลุทะลวงไปในมิติต่าง ๆ ผ่านเข้าออกในประตูของกาลเวลา มุ่งไปสู่ดวงดาวนับล้าน ๆ ดวงในจักรวาลโดยไม่จำกัดขอบเขต และกล่าวถึงสิ่งมีชีวิตในระดับต่าง ๆ กันที่มีอยู่มากมายทั้งในมิติภพนี้ และบนพิภพอื่น ๆ

มิติอื่น ๆ ในพระไตรปิฎกมีเรื่องราวที่กล่าวถึงสิ่งที่มีชีวิตต่าง ๆ ว่า มีอยู่ 32 รูปแบบ เป็นรูปแบบที่อาศัยมวลมีเนื้อมีหนังทั้งหยาบ และละเอียดแตกต่างกันไปถึง 27 รูปแบบ และมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาศัยมวลเป็นตัวตน แต่อยู่ในรูปแบบของพลังงานอีก 5 แบบ ชีวิตที่ต้องอาศัยมวลก็สามารถมีสัมผัสสื่อสารติดต่อกันได้เฉพาะในรูปแบบเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน และต้องอาศัยสื่อกลางในการติดต่อเป็นสำคัญโดยผ่านทางพลังงานทุติยภูมิ และทางมวลสารวัตถุ สิ่งมีชีวิตประเภทนี้ก็มีร่างกายเป็นมวลที่ละเอียดไม่สะท้อนแสง และไม่ดูดซับแสง ตาเนื้อของมนุษย์เราจึงมองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้ บางชนิดประกอบด้วยร่างที่เป็นมวลสารที่กึ่งพลังงาน หรือที่เรียกกันว่า สถานะพลาสมา (Plasma) เป็นสภาวะที่ละเอียดอ่อนมาก ได้แก่พวกพรหม ส่วนพวกที่มีรูปกายเป็นมวลสารประกอบจากพลังงานทุติภูมิ คือพวก "กามภพ" ได้แก่มนุษย์ สัตว์ และเทวดาบางชนิด(มนุษย์ต่างดาว) สิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาจศึกษาได้จากตำราทางพุทธศาสนา ถ้าจะศึกษากันในแง่ของวิชาการยุคอวกาศแล้ว ศาสตร์ทางพุทธศาสนาก็สามารถอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ของ ยูเอฟโอ ได้หมดทีเดียว.

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(3)
ในหนังสือเรื่อง "พุทธศาสตร์" ของ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีทางการศึกษามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้เขียนแนวคิดสมมุติฐานเกี่ยวกับชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในจักรวาล โดยท่านคิดขึ้นแล้วปรากฏว่าไปตรงกับหลักอรรถาธิบายที่มีอยู่แล้วในพระไตรปิฎกทุกประการ สมมุติฐานนี้ท่านได้ใช้การอธิบายทางวิทยาศาสตร์ด้วยภาษาวิทยาศาสตร์ สำหรับมนุษย์ยุคปัจจุบันจะเข้าใจได้ทันที เมื่อได้อ่านแล้วอาจไม่เชื่อว่านี่คือ ความจริงที่มีอยู่แล้วในพระไตรปิฎกทั้งสิ้น ณ ที่นี้ก็ขอยกสมมุติฐานของ ดร.ชัยยงค์ มาแสดงเพียงเป็นตัวอย่างเท่านั้นดังนี้
สมมุติฐานเกี่ยวกับชีวิต โดยสังเขปมี 6 ข้อคือ
1) สิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบ ทั้งพืช สัตว์ และคน มีพลังชีวิตซึ่งมีธรรมชาติเหมือนกัน แต่มีระดับของพลังในการมาเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตในแต่ละรูปแบบแตกต่างกัน พลังงานที่ใช้มาเกิดมีหน่วยเป็น LV. (LV-แอลวี-ย่อมาจาก "Life Vitatis" เช่นเกิดเป็นมด มี 1 LV. เกิดเป็นสุนัขมี 20,000 ถึง 30,000 LV. เกิดเป็นคนมี 40,000 ถึง 200,000 LV.)

2) ระดับของพลังชีวิตของมนุษย์ทุกคนเป็นผลรวมของ 3 องค์ประกอบคือ:

2.1 ได้จากพลังชีวิตของพ่อแม่

2.2 ได้จากรังสีของดวงดาวที่ตกลงมา ณ จุดกำเนิด

2.3 ได้จากพลังชีวิตของตนเองก่อนมาเกิด เป็นพลังเดิมที่สะสมไว้ในจิตและความทรงจำต่าง ๆ ซึ่งมีความถี่ต่าง ๆ กัน หากจิตมีพลังต่ำก็อาจเกิดเป็นแมลง เป็นสัตว์เดียรัจฉานชั้นต่ำ หากมีพลังสูงก็อาจเกิดเป็นคน เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ต่างมิติภพ

3) พลังชีวิตที่ได้รับตอนกำเนิด เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้จากการแบ่งอะตอมในร่างกายเป็นสัดส่วนกับการกระทำ (Process) ทำให้มีระยะพิสัยต่ำสุด และสูงสุดของพลังชีวิต นั่นคือ หากพลังชีวิตลดลงเลยขีดพิสัยต่ำสุด ร่างกายก็ดำรงอยู่ไม่ได้ หากพลังชีวิตเพิ่มเลยขีดพิสัยสูงสุด ร่างกายก็ทนไม่ได้เช่นกัน

4) เมื่อร่างกายดับไปแล้ว จิตจะถูกดูดไปยังแหล่งพลังงานที่เหนือกว่า พลังงานที่ดูดจิตไปนี้ กระจายอยู่ทั่วไปในจักรวาลซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ:-

ก) ส่วนที่อยู่ในสภาวะติดกับมวล (Mass)

ข) ส่วนที่อยู่ในสภาวะมวลซึ่งเริ่มเป็นพลังงาน (Plasma)

ค) ส่วนที่อยู่ในสภาวะพลังงาน (Energy)
ตามสมมุติฐานข้อนี้หมายความว่า เมื่อชีวิตหนึ่งตาย จิตจะแยกจากร่างกาย หากจิตมีพลังงานสะสมรวมเพียง 550 LV ก็จะถูกดูดไปยังส่วนที่อยู่ในสภาวะติดกับมวล และจะเข้ารวมกับมวลก่อรูปขึ้นเป็นร่างกายที่มีมวลสารอีก หากมีพลังงานสะสมมากเช่นมีถึง 300,000 LV. ก็จะถูกดูดไปยังส่วนสภาวะพลังงาน และเกิดเป็นชีวิตที่มีรูปแบบเป็นพลังงาน ไม่มีมวลเป็นร่างกาย (เรียกว่าไปเกิดในพรหมโลก)

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(4)
5) พลังชีวิตที่จิตใช้เป็นพลังงานรูปหนึ่ง ซึ่งมีธรรมชาติเป็นกัมมันตภาพรังสี และมีความเร็วสูงจนเทียบอัตราความเร็วต่อเวลาไม่ได้ (อกาลิโก) [พลังงานนี้คงเป็นพลังงานปฐมภูมิ-ผู้เขียน] ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ของมนุษย์โลกรู้จักพลังงานเพียงไม่กี่ชนิด เช่นพลังงานปรมณู พลังงานไฟฟ้า
พลังงานความร้อน พลังงานแสง เป็นต้น พลังงานเหล่านี้เป็นพลังงานที่จัดอยู่ในจำพวกพลังงานทุติยภูมิ เป็นพลังงานรองลงมา เป็นพลังงานที่กระจายแผ่ขยายออกมาจากการแตกดับสลายตัวของอะตอม
แต่พลังงานปฐมภูมินั้นนักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้จัก เท่าที่ทราบมีพระพุทธเจ้าองค์แรกที่เป็นผู้ค้นพบและกล่าวถึงพลังงานนี้ไว้โดยละเอียด
ต่อมาในปี พ.ศ.2483 นายแพทย์ ด๊อกเตอร์วิลเฮล์ม รีช (Dr Wilhelm Reich MD.) เป็นนักค้นคว้าวิจัยทางชีววิทยาและฟิสิกส์ เป็นอีกคนหนึ่งที่ค้นพบพลังงานอย่างเดียวกันกับที่พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ ดร.รีช เรียกมันว่า "Orgone Energy" และปัจจุบัน การค้นคว้าด้านพลาสมาฟิสิกส์ในสิ่งมีชีวิตโดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์รัสเซียก็ได้มีการประกาศว่า....พบพลังงานนี้แฝงตัวอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบเช่นกัน รัสเซียเรียกพลังงานลึกลับนี้ว่า 'Bioplasma Body' นักวิทยาศาสตร์รัสเซียกำลังศึกษากันอยู่ ยังไม่ทราบว่ามันเป็นพลังงานอะไร แต่ที่รู้แน่ ๆ คือมันไม่ใช่พลังงานในรูปใด ๆ ที่มีอยู่ในตำราวิชาฟิสิกส์มาก่อน มันมีรูปทรงเหมือนตัวสิ่งมีชีวิตที่มันแฝงตัวอยู่ทุกประการ และมันสามารถฟังชั่นได้ด้วยตัวของมันเอง หรือควบคุมการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ได้ทั้งหมด จึงเรียกมันว่า "ร่างพลาสมาในสิ่งมีชีวิต"
คนสุดท้ายที่กล่าวถึงพลังงานลึกลับนี้คือ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ ซึ่งได้กล่าวไว้ในสมมุติฐานข้อที่ 5 นี้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นพลังงานอีกอย่างหนึ่งที่มนุษย์ยังไม่รู้จักกัน
 

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(5)

5.1 พลังงานชีวิตสามารถทำปฏิกิริยากับสารเคมีบางอย่าง และสามารถบันทึกอัดเก็บไว้ได้
สมมุติฐานย่อยของข้อ 5 นี้ มีหลักฐานยืนยันได้มากมาย ดร.ชัยยงค์ ได้วิเคราะห์ภาพถ่าย พิธีพุทธาภิเษกรูปเหมือนหลวงพ่อวัดดอนตัน จังหวัดน่าน มีพระภิกษุเข้าพิธี 2 รูปคือ พระอาจารย์ไพริน นั่งอยู่ด้านซ้าย และ หลวงพ่อวัดดอนตัน นั่งอยู่ด้านขวา ตรงกลางรูปเป็นภาพเหมือนของหลวงพ่อ และลังกระดาษแม่โขงใส่เหรียญเพื่อรับการปลุกเสก ในภาพนั้น ภาพหลวงพ่อวัดดอนตันหายไป เห็นแต่อาสนะ แต่มีลักษณะเหมือนสายฟ้าฟาดจากบนลงมา พระอาจารย์ไพริน มีภาพซ้อนรวมทั้งสายสิญจน์ก็มีภาพซ้อน จึงทำให้คนดูคิดว่ากล้องถ่ายไหว แต่เมื่อพิจารณาดูดี ๆ แล้วพบว่ากล้องไม่ได้ไหว เพราะอักษร "แม่โขง" บนลังกระดาษยังชัดเจนดีทุกลัง จึงสามารถสรุปได้ว่า พลังชีวิตได้ทำปฏิกิริยากับสารเคมี และคงมีแรงสูงมาก

นอกจากภาพพลังชีวิตนี้แล้วยังมีการค้นคว้าใหม่ ๆ ในต่างประเทศอีกที่สนับสนุนสมมุติฐานย่อยข้อนี้ เช่น การทดลองถ่ายภาพด้วยกล้องพิเศษเรียกว่า "การถ่ายภาพแบบเคอร์เลียน" (Kirlian Photography) เคอร์เลียนเป็นนักอีเลคโทรนิคส์ชาวรัสเซีย ได้ค้นพบการถ่ายภาพ "พลังชีวิต" โดยบังเอิญ และต่อมาได้พัฒนาอุปกรณ์เครื่องถ่ายภาพพลังชีวิตขึ้นสำเร็จ เขาพบว่าสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบจะมีพลังงานอย่างหนึ่งเปล่งออกมาโดยรอบ ซึ่งสามารถถ่ายภาพไว้ได้ด้วยเทคนิคเครื่องถ่ายภาพอีเลคโทรนิคส์ที่เขาประดิษฐ์ขึ้น ภาพถ่ายของเคอร์เลียนนับจำนวนเป็นหมื่น ๆ ภาพได้ถูกนักวิทยาศาสตร์นำไปวิเคราะห์ และต่างลงความเห็นว่ามันเป็นสิ่งใหม่ที่วิทยาศาสตร์ยังไม่มีคำตอบ

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา ที่มหาวิทยาลัย UCLA ก็กำลังดำเนินการวิเคราะห์วิจัยเรื่องนี้อยู่ และได้ประดิษฐ์กล้องถ่ายภาพยนตร์สำหรับถ่ายภาพพลังชีวิตได้สำเร็จ นำมาซึ่งปัญหาและความงุนงงให้แก่นักวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น เมื่อฟิล์มภาพยนตร์ถูกนำมาวิเคราะห์ได้มีการค้นพบสิ่งประหลาดที่ไม่มีใครเคยคาดฝันมาก่อนหลายอย่าง เช่น พบว่าพลังชีวิตที่แผ่ออกมารอบตัวคนมีกำลังสว่างมากน้อย หรือหรี่อ่อนลงได้ตามอารมณ์ความนึกคิดของเจ้าตัว เมื่อนำใบไม้มาถ่ายพบว่าใบไม้สดมีพลังชีวิตส่องสว่างเจิดจ้า แต่พอเก็บทิ้งไว้หลาย ๆ วัน พลังชีวิตจะค่อย ๆ อ่อนลง ๆ และจางหายหมดไป เมื่อใบไม้เหี่ยวแห้งตายไป เมื่อนำใบไม้สด ๆ มาตัดออกไปแล้ว หรือฉีกออกครึ่งหนึ่ง พบว่าส่วนที่ถูกตัดออกไปแล้ว จะยังคงมีแสงพลังชีวิต มีรูปร่างเหมือนส่วนเดิมนั้นยังคงปรากฏอยู่ได้นานถึง 10 วินาที จึงเรียกว่า "รูปปีศาจใบไม้" (Phantom Leaf) และยังพบอีกว่าคนที่เข้าสมาธิได้ดีนั้น จะปรากฏว่าแสงพลังชีวิตเจิดจ้า และบางครั้งก็รวมกลุ่มหนาแน่นอยู่ตรงบริเวณหัว หรือปลายนิ้วมือ พบว่าคนที่ดื่มเหล้าเข้าไปมาก ๆ จะทำให้แสงพลังชีวิตหรี่ลงผิดคนธรรมดา

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(6)

5.2 พลังงานชีวิต สามารถอัด(charge) ลด และแผ่กัมมันตภาพรังสีได้ หมายความว่าผู้ที่มีพลังชีวิตสามารถอัดพลังชีวิตถ่ายทอดลงไปในมวลทุกประเภท หรือถ่ายให้อีกคนหนึ่งก็ได้ เช่น ถ่ายลงดิน (เรียกว่าปลุกเสกพระเครื่อง) อัดลงในน้ำ เช่น น้ำพระพุทธมนต์ สมมุติฐานข้อนี้สามารถนำไปใช้อธิบายเรื่องปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ได้ เช่น พระพุทธรูปได้รับการอัดพลังไว้ 15,000 LV. พระพุทธรูปองค์นี้จะมีกัมมันตภาพรังสีที่มีผลได้ 2 ทางคือ

ก) ผู้มี LV. ต่ำ จะขาดภูมิคุ้มกันกัมมันตภาพรังสี หากนำวัตถุมาไว้ที่บ้านก็อาจเป็นอันตรายต่อระบบประสาทและสมอง เกิดล้มป่วยได้ พูดง่าย ๆ คือคนชั่ว มี LV. ต่ำ ดังนั้นพระเครื่องที่ห้อยคอก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ มีแต่จะทำให้เกิดภัยเพิ่มมากขึ้นแก่ตนเอง

ข) ผู้มี LV. สูงอยู่แล้ว พลังงานของพระพุทธรูปจะเพิ่มพลังชีวิตให้สูงยิ่งขึ้น แต่ถ้าเพิ่มระดับ LV. สูงเกินพิกัดสูงสุด คนนั้นก็ดับชีวิตได้เช่นกัน เรียกว่าตายดี

ทฤษฎีสนับสนุนเรื่องนี้เป็นไปได้ ตามทฤษฎี Orgone Energy ซึ่ง ดร.ริช เขียนไว้ว่า กฎข้อหนึ่งของพลังงานนี้คือ ..... "มันจะไหลจากแหล่งที่มีความต่างศักย์ต่ำ ไปสู่แหล่งที่มีความต่างศักย์สูงกว่า"...... ซึ่งตรงกันข้ามกับการไหลของพลังงานทุตยภูมิทั้งหลาย อย่างเช่นไฟฟ้า ความร้อน เป็นต้น พลังงานทุติยภูมิจะไหลถ่ายเทจากแหล่งศักย์ดาสูงไปสู่แหล่งศักย์ดาต่ำ

5.3 พลังงานชีวิต มีอานุภาพและความเร็วสูงมาก สามารถทะลุทะลวงผ่านอะตอมมวลสารได้ทุกชนิด
สมมุติฐานย่อยข้อนี้ ดร.ชัยยงค์ อธิบายเปรียบเทียบกับหลักพระพุทธศาสนาว่า โดยที่มีพุทธดำรัสว่า " ไม่มีแรงใดเหนือแรงกรรม" พลังงานชีวิตนี้น่าจะเป็นพลังงานที่ทำให้เกิดแรงชนิดหนึ่งเรียกว่า "กรรม" พลังงานนี้สามารถทะลุทะลวงผ่านอีเลคตรอนเข้าไปทำลาย หรือแบ่งโปรตอนของมวลได้ นั่นคือเมื่อจำนวนโปรตอนถูกแบ่งเปลี่ยนจำนวนไป สารหรือธาตุนั้นก็เปลี่ยนไป เช่น ดินอาจเปลี่ยนเป็นทองคำก็ได้

อะตอมของมะเร็งในร่างกายก็อาจทำลายได้ด้วยพลังชีวิตนี่เอง และด้วยความรวดเร็วปานใจนึก พลังชีวิตอาจถูกส่งออกไปยังที่ใดก็ได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงระยะทาง โดยปราศจากความแตกต่างของเวลา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจิต และอำนาจของพลังงานที่จิตสะสมเอาไว้ และที่สำคัญคือ จิตนั้นรู้วิธีการในอันที่จะฉายพลัง หรือส่งพลังในระดับความถี่ต่าง ๆ ได้เหมือนการจูนคลื่นวิทยุ ถ้าจิตหนึ่งสามารถควบคุมปรับความถี่ของพลังงานชีวิตให้ตรงกับอีกจิตหนึ่งได้ ความรู้สึกนึกคิดของจิตทั้งสองก็สามารถเชื่อมต่อ ส่งข่าวถึงกันได้.

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(7)

6). ชีวิตมี " จิต " เป็นตัวขับเคลื่อน จิตเป็นสภาวะนามธรรม หากปราศจากจิตชีวิตจะดำเนินไปไม่ได้ ร่างกายจึงเปรียบได้กับรถยนต์ที่มีจิตเป็นผู้ขับขี่ จิตใช้กรรมเป็นเชื้อเพลิง เมื่อร่างกายแตกดับควบคุมไม่ได้ (รถยนต์เสีย) จิตก็ต้องสละร่างทิ้ง ออกจากร่างกายไป จิตที่ไม่เข้มแข็งย่อมอาจถูกจิตภายนอกที่มีพลังสูงกว่าเข้ามาแทรกแซงได้ กรณีของการเข้าทรงผีทรงเจ้า ก็คือกรณีของผู้มีบุคลิกตั้งแต่ 2 บุคลิกขึ้นไป (Multiple personality) ซึ่งถือว่าเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง บางครั้งเกิดจากจิตของคน ๆ นั้นอ่อนมาก จิตของผู้ที่แข็งกว่าจึงผลักจิตเดิมออก หรือกดจิตเดิมเอาไว้ แล้วเข้าแทรกแซงขับเคลื่อนร่างกายแทน

โดยปรกติจิตจะรักษา เอกภาพ (Identity) ของตัวเองไว้เสมอ และจดจำเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตได้หมด แต่เมื่อมายึดกับมวล (สิงในร่างกาย) พลังงานชีวิตจะอ่อนลง เพราะพลังส่วนหนึ่งต้องถูกนำไปใช้ในการควบคุมร่างกาย ควบคุมการสลายตัวของพลังงานทุตยภูมิเพื่อนำไปใช้ให้เกิดแรงงานต่าง ๆ เมื่อพลังชีวิตอ่อนลง การระลึกถึงชาติก่อนจึงทำไม่ได้ แต่ข้อมูลนั้น ๆ ยังอยู่ ข้อมูลทุกอย่างที่ผ่านเข้าไปในจิตย่อมฝังแน่นไม่เลือนหายไปไหน หากผู้ใดปฏิบัติสมาธิฝึกจิตให้ดี คือการวางเฉยจากร่างกายและความคิดอื่น ๆ ให้หมด รวบรวมพลังชีวิตที่มีอยู่โน้มน้าวมาเพื่อใช้ในการอ่านแถบบันทึกเหตุการณ์ในอดีต ก็ย่อมสามารถที่จะนึกลงไปในอดีตมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่า พลังชีวิตของผู้นั้น จะมีความแรงกล้าฝ่าทะลุตู้เซฟแห่งความทรงจำลงไปได้แค่ไหน.

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(8)
คำว่า "จิต" มิได้หมายถึงสิ่งที่มีตัวมีตน ในทางพุทธศาสนาได้อธิบายไว้อย่างลึกซึ้ง รวมใจความว่า หมายความว่า "ผู้สะสม" มิได้เป็นวัตถุก้อนกลม ๆ หรือก้อนพลังงานอะไรที่วิ่งออกจากร่างคนที่ตายไปเข้าร่างใหม่ดังที่เข้าใจกันอยู่ในปัจจุบัน จิตเป็นเพียงการรวมกลุ่มของพลังชีวิตที่มีทั้งบวกและลบ (ดีและชั่ว) มันเป็นระบบกลไกอันสลับซับซ้อน ต้องศึกษากันนานกว่าจะเข้าใจ ซึ่งจะไม่ขอยกมาอธิบาย ณ ที่นี้ มันเปรียบได้กับไดนาโมหรือเครื่องปั่นไฟ ต้องมีระบบกลไกหลายส่วนประกอบกันจึงจะเป็นเครื่องปั่นไฟฟ้าออกมาได้ แต่ถ้านำมารื้อออกดูแต่ละชิ้นส่วนก็ไม่สามารถบอกได้ว่าไฟฟ้าออกมาได้จากส่วนไหนของเครื่องปั่นไฟ สำหรับจิตมีความซับซ้อนยิ่งกว่านั้นมากหลายพันเท่า เพราะมันเปรียบเสมือนเครื่องยนต์มหัศจรรย์ที่มีส่วนประกอบที่เป็นมวลสาร และเป็นพลังงาน เป็นเครื่องจักรเชิงซ้อนมีทั้งชิ้นส่วนที่เป็นมวลสารและไร้มวลสารทำงานร่วมกัน (เครื่องจักรเชิงซ้อนนี้หมายถึงจิตของมนุษย์) บางคนอาจมีหัววิทยาศาสตร์มากไปหน่อยอาจไม่เข้าใจว่าเครื่องจักรไร้มวลสารเป็นอย่างไร ผู้เขียนก็ขอแนะว่า ไอน์สไตน์เคยกล่าวว่า " Matter is a concentrated form of physical energy " แปลว่ามวลสารคือสภาพของการรวมตัวอย่างหนาแน่นของพลังงานทางฟิสิกส์ หรือพลังงานทุติยภูมิ เราก็อาจกล่าวได้ว่า จิตคือสภาพของการรวมตัวอย่างหนาแน่นของพลังงานชีวิต หรือพลังงานปฐมภูมิ เขียนเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า " Mind is a concentrated form of psychical energy " ทางด้านวัตถุปรมาณู (atom) มีลักษณะปรากฏโดยผิวเผินเป็นสสาร (matter) แต่ถ้าพิจารณาพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดกับปรากฏว่า มันเป็นกลุ่มพลังงานมีโปรตอน อีเลคตรอน นิวตรอน ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าทั้งบวกและลบ หลายหน่วยรวมอยู่ใกล้เคียงกันอย่างมีกฎเกณฑ์ เมื่อเอาอะตอมจำนวนมาก ๆ มารวมกันก็กลายเป็นมวลสารเป็นตัวเป็นตนเป็นของแข็ง ของอ่อน จับต้องมองเห็นได้ ส่วนทางด้านพลังงานปฐมภูมินั้น จิตเป็นนามธรรม แม้จะเอาความรู้สึกนึกคิดความทรงจำทั้งบวกและลบมารวมกันมากมายสักเพียงใด ก็มองไม่เห็น ลูบคลำไม่ได้ เพราะพลังงานชีวิตไม่ใช่พลังงานทางฟิสิกส์ที่มีกล่าวถึงในตำราปัจจุบันนี้ แต่มันเป็นพลังงานที่อยู่นอกเหนือไปจากกาลเวลาอวกาศ คือไม่ขึ้นอยู่กับสภาวะ 4 มิตินั่นเอง
วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(9)
ดร.วิลเฮลม ริช ภายหลังที่ได้ค้นพบพลังงานประหลาดที่อยู่นอกเหนือตำราฟิสิกส์ ซึ่งเขาให้ชื่อว่า
" พลังงานออร์กอน "
ได้ตรวจวิเคราะห์ดูพลังงานประหลาดนี้เป็นเวลากว่า 20 ปี ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตได้เขียนทฤษฎี และสมมุติฐานเกี่ยวข้องกับพลังงานนี้ไว้ว่า

1)
พลังงานออร์กอน หรือพลังงานพื้นฐาน (Primary energy) ของมวลสาร และพลังงานทางฟิสิกส์อื่น ๆ เช่นไฟฟ้า แสง เสียง ความร้อน รวมทั้งชีวิตในสากลจักรวาล

2)
พลังงานออร์กอนอาจปรากฏให้เห็นในธรรมชาติปรกติเป็นสีน้ำเงิน หรือน้ำเงินเทา แสงสีเปลี่ยนไปได้ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของพลังงาน และสภาวะตื่นตัวของมันด้วย

3)
พลังงานออร์กอน สามารถแทรกซึม ทะลุทะลวงเข้าสู่มวลสาร และสนามพลังงานทางฟิสิกส์ ได้ทุกชนิดไม่มีสิ่งยกเว้น แต่การแทรกซึมจะมีอัตราความหนาแน่นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของตัวกลางนั้นๆ

4)
ในสารอินทรีย์ทุกชนิด จะมีพลังงานออร์กอนแทรกซึมอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนในสารอนินทรีย์อาจมีพลังงานนี้แทรกซึมอยู่มากน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของสารนั้น ๆ


5)
สารอนินทรีย์ เมื่อถูกพลังงานออร์กอนแทรกซึมเข้าไป จะสามารถดูดซับพลังงานนี้ไว้ในตัวของมันได้เป็นปริมาณพิกัดหนึ่ง เมื่อถึงขีดพิกัดนี้แล้วมันจะไม่ดูดซึมอีกต่อไป แล้วจะสะท้อนพลังงานออร์กอน ออกไปไม่ให้ผ่านเข้าไปได้อีก จนกว่าพิกัดความจุในตัวมันถูกทำให้ลดลง

6)
น้ำ เป็นสารอนินทรีย์ชนิดเดียวที่ดึงดูด และดูดซึมพลังงานออร์กอนได้ดีมากที่สุด


7)
พลังงานออร์กอน เป็นพลังงานที่สามารถไหล หรือแผ่กระจายได้จากแหล่งที่มีความต่างศักย์ต่ำ
ไปสู่แหล่งที่มีความต่างศักย์สูง ตรงกันข้ามกับพลังงานอื่น ๆ ทางฟิสิกส์ที่เคยรู้จักกันมาก่อน


8)
โดยธรรมชาติที่แท้จริง พลังงานออร์กอนเป็นพลังงานที่ควบคุมการก่อรูปของมวลสาร ซึ่งตรงข้ามกับพลังงานทุติยภูมิ หรือพลังงานทางฟิสิกส์อื่น ๆ ที่รู้จักกัน พลังงานทุติยภูมิเป็นพลังงานที่เกิดจากการสลายตัวของมวล หรือการเสียสมดุลย์ของมวล จากสูตรของพลังงานที่ไอนสไตน์ ตั้งเอาไว้ว่า E = mc^2 ( E คือพลังงาน m คือมวลสาร c คือค่าความเร็วแสงในสูญญากาศ) แสดงว่าถ้ามวลสาร (m) ถูกทำให้สลายตัว จะได้พลังงานทางฟิสิกส์คือ E ออกมา E ในที่นี้คือพลังงานออร์กอนในมวลสารสลายตัวออก และแปรสภาพเข้าสู่ขอบเขตของมิติที่ 4 ปรากฏตัวออกมาในรูปของพลังงานปรมาณู ซึ่งเป็นพลังงานทุติยภูมิ
จากความรู้และข้อเท็จจริงเท่าที่ยกมาแสดงแต่เพียงเล็กน้อย พอเป็นตัวอย่างเหล่านี้ อาจใช้เป็นเครื่องอธิบายได้พอสังเขปว่า ชีวิตต่างดาว เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ชีวิตที่ไม่มีรูปกายเป็นมวลสาร ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ความเร้นลับในเรื่องจิตวิญญาณ และปรากฏการณ์เกี่ยวกับอำนาจลึกลับที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ สามารถอธิบายได้โดยหลักการของพลังงานปฐมภูมิ และท้ายสุดความรู้ความเข้าใจเหล่านี้ อาจทำให้บางคนมองเห็นว่า วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน เป็นเพียงกิ่งก้านแขนงหนึ่งของธรรมชาติทั้งหมดในจักรวาลเท่านั้น ยังมีกิ่งก้านสาขาแขนงอื่น ๆ อีกมากมายที่วิทยาศาสตร์ยังไต่ไปไม่ถึง และถ้ามนุษยชาติต้องการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จริง ๆ แล้ว วิทยาศาสตร์ไม่ควรที่จะปิดหูปิดตาตัวเอง

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(10)
ความรู้ความเข้าใจเหล่านี้ อาจทำให้บางคนมองเห็นว่าวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเป็นเพียงกิ่งก้านแขนงหนึ่งของธรรมชาติทั้งหมดในจักรวาลเท่านั้น ยังมีกิ่งก้านสาขาแขนงอื่น ๆ อีกมากมายที่วิทยาศาสตร์ยังไต่ไปไม่ถึง และถ้ามนุษย์ชาติต้องการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จริง ๆ แล้ว วิทยาศาสตร์ไม่ควรที่จะปิดหูปิดตาตัวเอง วิทยาศาสตร์ไม่ควรเกาะแน่นอยู่แค่บนกิ่งกิ่งเดียวโดยไม่ยอมกระโดดไปกิ่งอื่น ๆ เสียเลย การปฏิเสธไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น การปฏิเสธไม่ได้พิสูจน์ว่าธรรมชาติกิ่งอื่น ๆ ไม่มี การที่หลักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันไม่สามารถนำไปใช้กับธรรมชาติของกิ่งแขนงอื่น ๆ ได้นั้น ก็เพราะหลักการนั้น เป็นหลักการคนละระดับกัน มันเป็นเพียงหลักการที่ถูกต้องสำหรับมิติแห่งพลังงานทุตยภูมิ มิติแห่งพลังงานพื้นฐานของมวลสารในโลกของวัตถุธาตุทางกายภาพเท่านั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงให้ผู้ที่มีดวงตาแหลมคม เห็นว่าเอกภพนี้ยังมีพลังงานในรูปแบบอื่น ๆ อีก ดร.ริช ก็ได้ค้นพบธรรมชาติของพลังงานลึกลับอีกรูปแบบหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์รัสเซีย เช่น ดร.โพโลวา (Dr.Lutsai Pavlova) ดร.กินาดี เซอรจิเยฟ (Dr.genady Sergeyev) และกลุ่มนักค้นคว้าที่ศูนย์ "โพพอฟ" PoPoV - ชื่อเต็มว่า The Bio - Information Section of the A.S. PoPov All Union Scientific and Technical Society of Radio Technology and Electrical Communications ) เหล่านี้ ก็ยืนยันว่าพลังงานอีกอย่างหนึ่งที่นอกเหนือไปจากพลังงานทางฟิสิกส์ทั้งหลายนั้นมีจริง แต่มันยังเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ และหลักการทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าใจได้ วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่มีคำตอบ หรือทฤษฎีใด ๆ ที่จะนำอธิบายได้เลย
จากเรื่องราวเหล่านี้ นำไปสู่การสันนิษฐานได้ว่า ถ้าการติดต่อของทอม มนุษย์ต่างดาวเป็นเรื่องจริง มันก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ว่าพวกต่างดาวเหล่านั้นมีจริง และถ้าทอมไม่ได้พูดโกหกเสียเอง เรื่องราวและเหตุผลที่เขากล่าวอ้างมานั้นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทั้งสิ้น หากใครไม่มีความรู้พื้นฐานในเรื่องพลังงานปฐมภูมิมาก่อนเลย ผู้นั้นก็จะไม่มีวันเข้าใจในสิ่งทอมกล่าวถึงเลยแม้แต่น้อย และสิ่งเดียวที่ผู้นั้นจะทำได้เมื่อได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้นก็คือ การปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ถ้าหากว่าผู้นั้นมีความรู้พื้นฐานในเรื่องพลังงานปฐมภูมิ ความรู้ในแขนงอื่น ๆ ที่ไม่มีในตำราวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน เขาก็จะเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทอมพูดถึงว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เช่นยานบินไร้มวลสาร และเรื่องสิ่งมีชีวิตที่ไร้รูปกาย เรื่องการกระจายของหน่วยชีวิตภาค เรื่องความหนาแน่นที่เกิดขึ้นกับมวลชีวิตบนโลก เรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับความสมดุลย์ของมวลภาวะชีวิตในเอกภพ เหล่านี้เป็นต้น


วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(11) ตอนจบ



......... "วิทยาศาสตร์ล้ำยุค (11) ตอนจบ ".......

......ท่านนักจานบินวิทยาสมัครเล่นทั้งหลาย เมื่อได้อ่านเรื่องราวการวิเคราะห์ในแนวต่าง ๆ จนมาถึงตอนจบของบทนี้แล้ว อาจสงสัยว่า เราจะสรุปได้อย่างไรว่ามนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกเราทำไม เหตุใดพวกเขาจึงไม่ติดต่อกับเราให้เป็นกิจจะลักษณะ คำถามนี้ดูเหมือนเกือบจะไม่มีคำตอบ แต่ถ้าพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว จะพบว่ามันมีคำตอบที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นคำตอบที่ถูกที่สุดเสียด้วย

...... มนุษย์ต่างดาว เห็นว่ามนุษย์เรายังด้อยพัฒนาเกินไป หรือยังป่าเถื่อนล้าหลังอยู่มากเกินกว่าที่จะเปิดการติดต่อด้วยได้ พวกเขาอาจจะเห็นว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ดุร้ายทารุณโหดเหี้ยมมากเกินกว่าที่ติดต่อด้วย อย่างนั้นหรือ ? นี่อาจเป็นคำตอบส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่คำตอบที่ถูกทั้งหมด เพราะถ้ามนุษย์ต่างดาวมองเห็นว่ามนุษย์โลกเป็นเช่นนั้น ทำไมพวกเขาจึงเสียเวลาหลายสิบปี เฝ้าวนเวียนสำรวจโลกของเราอยู่ตลอดมา ถ้าโลกนี้เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณเกินกว่าที่จะแตะต้องได้ พวกเขาคงละทิ้งไปหาโลกอื่น ๆ เพื่อแสวงหามิตรใหม่ที่ไร้ความบ้าคลั่งเสียนานแล้ว แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น.... ทำไม ?

....... มนุษย์ต่างดาวอาจต้องการจะเข้ายึดครองโลก .... นี่ก็ไม่ใช่คำตอบ เพราะถ้าพวกเขาต้องการจะเข้ายึดครองโลก เขาก็สามารถที่จะทำได้โดยไม่ต้องเสียเวลากว่า 30 - 40 ปี เฝ้าวนเวียนสำรวจตรวจสอบมนุษย์โลกอยู่อย่างนี้ ด้วยเทคโนโลยี่ และยานบินยูเอฟโออันทรงประสิทธิภาพเหนือกว่าเทคโนโลยีใด ๆ ของมนุษย์โลกจะไปเทียบติด พวกมนุษย์ต่างดาวก็สามารถใช้กำลังเข้าบุกยึดโลกได้ภายในเวลาไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ โดยที่พวกเขาอาจไม่สูญเสียอะไรเลยก็ได้....แต่ทำไมเขาไม่ทำ ? แน่นอน พวกมนุษย์ต่างดาวกำลังรออะไรสักอย่าง...... เขากำลังรอเวลาที่จะติดต่อกับมนุษย์โลก....ทำไมต้องรอ ?
........ คำตอบ...... เพราะการติดต่อไม่ใช่การติดต่อด้วยการเซ็นสัญญาทางการฑูต ไม่ใช่การติดต่อพูดกันด้วยภาษากลางที่ตึกสหประชาชาติ ไม่ใช่การแสดงตัวด้วยความองอาจ ด้วยอำนาจของผู้ที่มีเทคโนโลยี่สูงกว่า และก็ไม่ใช่ด้วยการติดต่อสื่อสารในลักษณะใด ๆ ที่มนุษย์บนโลกเรานี้เคยกระทำ เคยใช้เป็นสื่อแลกเปลี่ยนความนึกคิดกันมาก่อน.... แต่มันจะเป็นการติดต่อระดับเอกภพ มันจะเป็นการติดต่อแบบสมบูรณ์แบบ และมันจะเป็นการติดต่อที่มีการเชื่อมสัมพันธไมตรี แลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิด โดยไม่มีความลับต่อกัน มันจะเป็นการร่วมสัมพันธ์ที่เหนือไปยิ่งกว่าการรู้จักกันด้วยการฑูต เหนือไปกว่าความรู้สึกต่อกันฉันท์พี่น้องร่วมเอกภพ.... มันจะเป็นการติดต่อที่สมบูรณ์แบบที่สุด แน่นแฟ้นดุจวงศ์วานแห่งชีวิตอันเดียวกัน มันจะเป็นอย่างไร มีรูปแบบอย่างไร โปรดหาคำตอบได้ในบทต่อไป.....................................

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บทที่ 13 เตรียมการลงสู่พิภพ"โลก"... มนุษยชาติกับจานบิน



ข้อความที่มนุษย์ต่างดาวสื่อสารกับมนุษย์โลก

เป็นข้อความเสียง

ได้ถูกบันทึกไว้เมื่อปี 2517

และได้มีการพิสูจน์จนมีความน่าเชื่อถือว่าเป็นเรื่องจริง

จึงได้มีการนำมาเผยแพร่ในปี  2524









ข้อความดังต่อไปนี้คัดลอกจากหนังสือ"จานบินวิเคราะห์" 
ซึ่งเรียบเรียงโดย ดนต์ รัตนทัศนีย
พิมพ์ครั้งที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2524
จัดพิมพ์และจำหน่ายโดย
บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด



ในหนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมและวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องของ UFO ในหลายๆด้านทั้งด้านวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันและวิทยาศาสตร์ล้ำยุค เราได้คัดลอกข้อมูลบางส่วนของหนังสือเล่มนี้ให้กับผู้ที่กำลังศึกษาเรื่อง ของ UFO ในมุมมองที่ท่านอาจไม่เคยได้รับรู้มาก่อนหนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์ในปี พ.ศ. 2524 ซึ่งคงจะหาอ่านได้ยากในปัจจุบัน

เนื้อหา  ภายในหนังสือเล่มนี้




สารบัญ
คำนำ
ประวัติศาสตร์จานบินโดยสังเขป
1.ยูเอฟโอ คืออะไร
2.ประวัติโดยย่อของ UFO ในสหรัฐอเมริกา
3.ประวัติย่อของ UFO ในรัสเซีย
4.ประวัติย่อของ UFO ในยุโรปและที่อื่นๆ
5.ลักษณะทางสถิติวิจัยของยูเอฟโอในประวัติศาสตร์
6.รายงานทางวิทยาศาสตร์ของสิ่งบินลึกลับในสมัยศตวรรษที่ 19
7.ยูเอฟโอในศตวรรษที่ 20

วิทยาศาสตร์กับจานบินวิทยา
8.เสียงหัวเราะของวิทยาศาสตร์
9.การบุกเบิกของนักจานบินวิทยา

จานบินวิเคราะห์
10.ข้อมูลวิเคราะห์ของยูเอฟโอ
11.เทคโนโลยีวิเคราะห์ของยูเอฟโอ
12.สังคมจิตวิทยาวิเคราะห์ของยูเอฟโอ

มนุษยชาติกับจานบิน
13.เตรียมการลงสู่พิภพ "โลก"
14.วิทยาศาสตร์ล้ำยุค
15.วงค์วานแห่งเอกภพ

ขอนำข้อมูลในบทที่ 13  มาให้รับทราบ 
เรื่องมนุษยชาติกับจานบิน.....ในบทที่ 13 เตรียมการลงสู่พิภพ "โลก"

เนื่องจากเป็นข้อมูลที่ทำให้ทราบอีกมุมมองหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์ต่างดาว   ทางด้านจิตวิญญาณ
ติดตามอ่านในช่วงต่อไปค่ะ






บทที่ 13

เตรียมการลงสู่พิภพ "โลก"


หลวง วิจิตรวาทการ เขียนไว้ในหนังสือ "มหัศจรรย์ทางจิต" ว่า ...."วิชาลึกลับต่าง ๆ เกี่ยวกับทางจิตนั้น โลกเชื่อถือมาแต่โบราณดึกดำบรรพ์ และก็ยังเชื่อถืออยู่จนกระทั่งบัดนี้ ไม่เฉพาะแต่ในประเทศที่ล้าหลังทางการศึกษา เรื่องดูเหมือนจะกลับตรงกันข้าม ยิ่งในประเทศที่การศึกษาทางวิทยาการสมัยใหม่ก้าวหน้ามากที่สุด กลับไปค้นคว้าเรื่องมหัศจรรย์ทางจิตมากที่สุด"

เมื่อ ปี พ.ศ.2517 ได้มีการค้นคว้าทดลองศึกษาความลึกลับเกี่ยวกับทางจิตในสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้มากกว่า 20 ปี ดร. แอนดริจา พูเฮริซ (Dr.Andrija Puharich)นักจิตวิทยาและวิศวกรอิเลคทรอนิคส์ทางเครื่องมือแพทย์ประจำอยู่ที่ มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์แห่งนิวยอร์ค (New York University Medical Center) ได้ทดลองเรื่องการเข้าทรงโดย นางชเลมเมอร์ ฟิลลิส (Mrs.Schlemmer Phyllis) เป็นคนทรง และมีนายจอห์น วิทมอร์ (Mr.John Whitmore)นักศึกษาจิตศาสตร์จาก โอซ์ซินนิ่ง นิวยอร์คเสตท (Ossinging New York State) เป็นผู้ร่วมงาน มีผู้เข้าร่วมสังเกตุการณ์สมทบภายหลังอีกหลายคน เช่น ดร. ไลออล วอทสัน (Dr.Lyall Watson) นักจิตวิทยา ศาสตราจารย์ ดร. คาร์ล ซาแกน (Prof. Dr.Carl Sagan) นักดาราศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญทางเรื่องมนุษย์วิทยา อีกทั้งนักธรรมเปรียญ ผู้เชี่ยวชาญทางเรื่องเทววิทยาศาสนศาสตร์ เหตุที่ต้องเชิญผู้ชำนาญการในสาขาวิชาเหล่านี้เข้าร่วมสังเกตุการณ์ด้วย 


ก็เพราะภายหลังจากการเข้าทรงของนางฟิลลิส 5-6 ครั้ง ปรากฏการณ์ประหลาดที่ไม่มีใครคาดฝันก็เกิดขึ้น "สิ่ง"ที่มาเข้าคนทรงนั้น ไม่ใช่ภูตผีวิญญาณอย่างเช่นที่ควรจะเป็น อะไรก็ตามที่พูดผ่านคนทรงออกมา อ้างตนเองเป็น "มนุษย์ต่างพิภพ" และเขาตั้งชื่อตัวเองว่า "ทอม" (Tom) เพื่อความสะดวกในการติดต่อเรียกชื่อกัน

การติดต่อผ่านคนทรงระหว่างคณะผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวกับ มนุษย์ต่างดาวที่เรียกตัวเองว่า ทอม ได้ถูกบันทึกไว้ในเทปบันทึกเสียงโดยตลอด มีการติดต่อหลายร้อยครั้ง รวมเวลาคำสนทนายาวถึง 200 ชั่วโมงกว่าในการติดต่อโดยผ่านคนทรง มีการนัดหมายวันเวลาที่จะติดต่อกันเป็นครั้ง ๆ ไป เรื่องราวนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องการเข้าทรงธรรมดาอย่างที่ใครเข้าใจ แต่มันมีความลึกซึ้งไปกว่านั้น เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้ผ่านการพิสูจน์ตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาวิชาด้วยกัน เท่าที่เครื่องมือและความรู้ทางวิทยาการปัจจุบันจะอำนวย ก็ไม่สามารถค้นพบความหลอกลวงได้ เรื่องทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่ทิ้งไว้ ให้อยู่ในดุลยพินิจของนักวิชาการทั้งหลาย ที่มีส่วนรู้เห็นว่าจะเชื่อหรือปฏิเสธเท่านั้น

มนุษยชาติกับจานบิน (2)
ต่อเนื่อง "มนุษย์ชาติกับจานบิน" ซึ่งได้กล่าวไปแล้วในตอนที่ 1 นั้น จึงขอกล่าวตอนต่อไปดังนี้

การ สนทนากับทอม มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับปัญหา ข้อสงสัย และมีการทดสอบลองภูมิกันในแง่ความคิดสติปัญญากันในตอนเริ่มแรก อีกทั้งปัญหาทางด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ การเมือง และที่สำคัญคือ ปัญหาทางด้านจานบินวิทยา ทั้งหมดได้รับการเปิดเผยโดยหาข้อโต้แย้งไม่ได้

ใน การติดต่อสนทนากันตอนหนึ่ง ดร. แอนดริจา ตั้งคำถามทอม ผู้แทนมนุษย์ต่างดาว ติดต่อทางโทรจิตผ่านมาทาง นางฟิลลิส ให้อธิบายว่าตนเองเป็นใคร หรือเป็นอะไร ... คำตอบของทอม ผ่านออกมาจากปากของนางฟิลลิส ซึ่งอยู่ในสภาพหลับอยู่ใต้การสะกดว่า

" เราไม่ใช่สิ่งมีตัวตนที่จับต้องได้ แต่เราสามารถแสดงตัวตนให้จับต้องได้ และแลเห็นได้โดยผ่านทางร่างสังเคราะห์เทียม เมื่อจำเป็นต้องทำ มันเป็นการยากที่เราจะอธิบายให้พวกท่านเข้าใจได้ชัดเจนว่าเรามีรูปร่างใน ลักษณะใดก็ได้ เราสามารถแสดงรูปร่างของมนุษย์ได้ เราอาจจะแสดงตัวในรูปร่างของพลังงานที่เปล่งแสงเจิดจ้าก็ได้ เราได้มีวิวัฒนาการไปไกลเหนือจุดแห่งความต้องการยึดเหนี่ยวทางร่างกายที่ เป็นวัตถุธาตุ เราไม่มีความต้องการร่างกายที่เป็นเลือดเนื้อหนังมังสา"
ดร.แอนดริจา..." การติดต่อของท่านนี้กระทำขึ้นได้อย่างไร"

ทอม......" เราได้สวมใส่เครื่องมือชิ้นเล็ก ๆ ลงในตัวของคนทรงนี้ (นางฟิลลิส) มันเป็นเครื่องรับส่งแปลภาษาของท่านและของเรา"

ดร.แอนดริจา......"เดี๋ยวก่อน เครื่องมืออะไร ภาษาของท่านเป็นภาษาอะไร"

ทอม......." ท่านอาจแปลกใจ...เครื่องมือดังกล่าวถูกสวมซ้อนไว้ในกายของคนทรง ตรงบริเวณใกล้สมองส่วนกลาง เครื่องมือของเราไม่ได้ทำจากวัตถุธาตุ มันทำจากพลังงานล้วน ๆ จึงไม่ต้องการเนื้อที่ติดตั้ง " ..เสียงเงียบไปเฉย ๆ

ดร.แอนดริจา......." อย่างไรกัน โปรดอธิบายให้ละเอียด"

ทอม......." ภาษาของเราไม่ใช่ภาษาอย่างที่มนุษย์ใช้กัน เราติดต่อกันด้วยความถี่ที่มีระดับต่าง ๆ กัน ยากที่จะอธิบายให้ท่านเข้าใจได้ ความถึ่อยู่ระหว่าง 98.6 ในความเข้าใจของท่าน"

ดร.แอนดริจา......"98.6 มีหน่วยเป็นอะไร"

ทอม......." เราจะพยายามอธิบาย" เงียบไปชั่วครู่ "มันไม่มีอะไรจะเทียบได้ในภาษาความเข้าใจของมนุษย์...แต่..อาจจะคล้าย..ใกล้ เคียงกับสิ่งที่ท่านเรียกว่า เมกกะไซเกิ้ลส์ (Megacycles)

ดร.แอนดริ จา......"โอเค ผมพอเข้าใจ แปลว่าท่านติดต่อได้โดยลดความถี่ในการพูดของท่านลงมาสู่ความถี่ต่ำที่จะทำ ให้มนุษย์สามารถได้ยินได้ โดยผ่านเข้าเครื่องแปลภาษาที่ฝังอยู่ในสมองของนางฟิลลิส อย่างนั้นหรือ"

ทอม....."คล้ายกับอย่างที่ท่านเข้าใจ แต่มันยังซับซ้อนกว่านั้นมาก"

ดร.แอนดริจา....."ซับซ้อนอย่างไร โปรดอธิบายง่าย ๆ"

ทอม......." ขณะเดียวกัน เราต้องควบคุมการทำงานของสมองอีกหลายจุด การหายใจ หัวใจ ความดันเลือด รวมทั้งระดับกระแสไฟฟ้าในสมองของคนทรงคนนี้ ให้อยู่ในระดับปกติและสมดุลย์ เครื่องมือจะสามารถกระตุ้นการทำงานของสมองให้เห็นภาพตามที่ต้องการ แล้วปล่อยให้จิตใต้สำนึกแปลความหมาย จิตสำนึกจะรับรู้ความคิดเห็นนั้นแล้วถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดในภาษาของท่าน"

ดร.แอนดริจา....... "หมายความว่า ฟิลลิส อาจพูดโกหกได้"

ทอม...... อาจโกหกได้ ถ้าเราไม่ควบคุมให้สมบูรณ์ เราคอยควบคุมการทำงานของจิตใต้สำนึกอยู่ด้วย ถ้าหากมีการสร้างภาพขึ้นจากความทรงจำ เราจะหยุดการป้อนความคิด"

ดร.แอนดริจา......"อย่างไรกันไม่เข้าใจ"

ทอม......." ตอนนี้คนทรงคนนี้อยู่ในภาวะหลับ จิตสำนึกของเขาไม่ทำงาน แต่เราบังคับให้ทำงานภายใต้การกระตุ้นของเรา จิตสำนึกทำงานเฉพาะหน้าที่การพูด ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นของเครื่องมือแปลภาษาที่ใส่อยู่ในสมอง ซึ่งถูกควบคุมจากเราโดยตรง เราจะหยุดการกระตุ้น ถ้าจิตใต้สำนึกของเขาคิดฝันเองจากความทรงจำ ความฝันนั้นจะไม่พูดออกมาทางจิตสำนึก ท่านพอเข้าใจหรือยัง "



มนุษยชาติกับจานบิน (3)

ดร.แอนดริจาถามขึ้นว่า " ท่านคือใคร โปรดบอกให้เข้าใจหน่อย " เสียงของทอมตอบมาว่า... " เราคือชีวิตที่ปราศจากรูปทางฟิสิกส์ อย่างที่เราเคยบอกแก่ท่านแล้ว...เราไม่มีธรรมชาติของตัวตนเรามีธรรมชาติเป็น อยู่ในลักษณะของพลังงาน หรือเป็นพลังงานในความเข้าใจของมนุษย์ เราอยู่ในเขตเย็น ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถเปลี่ยนสภาพรูปร่างได้ตามที่เราต้องการ "

ดร.แอ นดริจา  ถาม " อือวว์ " ... " บนโลกนี้ผมเข้าใจว่าเขตเย็น (Zone of cold)อย่างที่ท่านว่าคงหมายถึงพวกสารวัตถุที่อยู่ในสภาพซูปเปอร์คอนดัคติวิ ตี้ ซึ่งอยู่ในสภาวะไร้ความต้านทานทางไฟฟ้า เป็นเขตที่อณูของมวลสารหยุดการเคลื่อนไหว อย่างนั้นใช่หรือไม่"

" ถูกต้องแล้ว" ทอมตอบ

" นี่หมายความว่าท่านเป็นรูปพลังงานบริสุทธิ์ ในความจริงที่มนุษย์ยังไม่เข้าใจลึกซึ้ง ท่านคงเป็นพวกวิญญาณใช่ไหม "

" เราคือวิญญาณ (Soul) " เสียงทอมตอบ

" ทำไมท่านจึงชื่อ ทอม "

" เราเรียกตัวเองว่า ทอม ก็เพื่อความสะดวกในการติดต่อกับท่านเท่านั้น เราคือพลังงานที่ไม่มีวันตาย"

" ท่านคือพระเจ้าใช่ไหม" แอนดริจาถามต่อไป

" ไม่ใช่ เราไม่ใช่พระเจ้า พวกมนุษย์ต่างหากที่สร้างพระเจ้าขึ้นมา" ...เสียงทอมหยุดชะงัก

" โปรดอธิบายต่อไป พวกเรากำลังฟัง" แอนดริจาพูดเมื่อเสียงทอมหยุดไปเหมือนไม่แน่ใจว่าควรจะพูดต่อไปดีหรือไม่ดี

" เราไม่ใช่พระเจ้าผู้สร้าง เราไม่ใช่ผู้ควบคุมมนุษย์ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพวกท่าน และเราช่วยเหลือพวกท่านตลอดมา"

" ผมไม่เข้าใจ โปรดขยายความให้ชัดเจน"

" พวกมนุษย์มากมายเกือบทั้งโลกไม่เข้าใจถึงการเกิดและตาย ไม่เข้าใจความเป็นชีวิตในระหว่างชีวิตด้วยกัน แท้ที่จริงชีวิตทุกชีวิตคือพลังอันเดียวกัน...ชีวิตบริสุทธิ์ของเราประกอบ ด้วยสามอย่างที่เป็นเนื้อเดียวกันสนิท กลายเป็นพลังงานบริสุทธิ์ คือ จิต วิญญาณ และ ความคิด (Spirit Soul and Mind) ทั้งสามเมื่อเข้าสู่บรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก จะปรากฏเป็นดวงวิญญาณ ซึ่งจะต้องเข้าสวมกับร่างที่เป็นกายภาพจึงจะปรากฏเป็น " นามธรรม" หรือ เรือนร่างที่ท่านเรียกว่า " ชีวิต" ..

มนุษยชาติกับจานบิน (4) 

เมื่อพิจารณาจากถ้อยคำของทอม ผู้ที่อ้างว่าเป็นวิญญาณอมตะแล้วต้องพบว่า มันคล้ายคลึงกับเรื่องของสิ่งมีชีวิตในอีกระดับหนึ่ง เรียกว่า "เทพ" ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ทรงแบ่งระดับของสิ่งมีชีวิตไว้หลายระดับ การติดต่อโดยผ่านคนทรงนี้ จึงดูเหมือนการติดต่อกับภูตผีวิญญาณอย่างธรรมดา ๆ นี่เอง แต่ทว่าในความบางตอนจะพบกับความประหลาด เมื่อพูดถึงเหตุผลในการติดต่อครั้งนี้ ดร. แอนดริจา ถามทอม ในการสนทนากันตอนหนึ่งว่า

" จงบอกวัตถุประสงค์ ในการติดต่อกันให้ทราบอย่างชัดแจ้งได้ไหม"

"การ ติดต่อกับมนุษย์ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราพยายามกระทำ เราเคยทำมาแล้วหลายครั้ง แต่ได้ผลน้อยมาก เพราะเกิดปัญหาในการควบคุมความนึกคิดจิตใต้สำนึกของผู้เข้าทรง ซึ่งเป็นตัวกลางในการสื่อสาร เราไม่สามารถควบคุมได้สมบูรณ์ ถ้าจิตใต้สำนึกไม่หยุดนิ่งเราก็ติดต่อกันไม่ได้"

"ท่านว่า ท่านไม่สามารถควบคุมอะไรได้สมบูรณ์"

"ส่วน ใหญ่ ตัวกลางหรือคนทรงจะมี อีโก้ (Ego -หมายถึงการยึดเหนี่ยวว่าเป็นของตัวเอง เป็นตัวตน จึงทำให้เกิดความยึดมั่นไม่ยินยอม) และมีอารมณ์ (Emotion)
ที่ผันแปร สิ่งเหล่านี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ผลการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ในตัวกลางขณะกำลังติดต่อจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดใน ความเข้าใจทางภาษา และเป็นผลร้ายต่อกระแสความรู้สึกนึกคิดของตัวกลางเอง อาจทำให้คนทรงเกิดอาการสติฟั่นเฟือนไปก็ได้"



...... เงียบไปชั่วครู่..." ในการติดต่อครั้งนี้ จุดประสงค์ใหญ่คือ เราต้องการทำโครงการเพื่อเตรียมมนุษย์โลกให้พร้อมเพื่อรับการลงสู่พิภพ..... การลงจอดของยานที่พวกท่านเรียกว่า "จานบิน" ...ตามโครงการนี้ การลงจอดจะใช้เวลา 9 วัน ตามเวลาบนโลกของท่าน ในช่วงเวลา 9 วัน ท่านจะเห็นยานบินของพวกเราลงจอดทั่วไป ตามจุดกำหนดที่จะบอกให้ทราบต่อไป การลงสู่พื้นพิภพโลกจะกระทำด้วยยานบินหลายประเภท ยานส่วนมากจะอยู่บนผิวพื้นโลกเพื่อดำเนินงานตามโครงการแผนขั้นที่ 2 คือการติดต่อกับผู้นำของพวกท่านทั่วโลก เพื่อดำเนินการตามแผนขั้นที่ 3 ต่อไป"...เสียงเงียบไปชั่วครู่

......" สิ่งที่จะมากับยานบินของเรา ไม่ใช่เรา แต่จะเป็นสิ่งมีชีวิต หรือมนุษย์จากพิภพอื่น ๆ เขาเหล่านั้นเป็นสมาชิกของกลุ่มผู้เจริญซึ่งมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ สูงมากกว่าวิทยาศาสตร์ และความเจริญใด ๆ ที่มีอยู่บนโลกของท่าน กลุ่มสมาชิกต่างพิภพที่จะนำยานลงจอดนี้ จะมาช่วยแก้ไขปัญหาที่มนุษย์ไม่มีวันแก้เองได้สำเร็จ จะมาช่วยสอนวิทยาการที่ก้าวไกลกว่า และดีกว่าที่มีอยู่บนโลก แต่จุดมุ่งหมายใหญ่แล้วเขาจะมาจัดการ ยกระดับจิต ของพวกท่าน จะช่วยทำให้ระดับจิตของพวกท่านสูงขึ้น และดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ มันจะช่วยให้เกิดแสงแห่งธรรมแก่พวกท่าน " ...เงียบไปชั่วขณะ

" เมื่อพูดถึงแสงสว่างแห่งธรรม พวกมนุษย์ไม่เข้าใจว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับสากลจักรวาลทั้งหมดได้อย่างไร เราจะพยายามอธิบายให้ท่านเข้าใจภายหลัง... พวกมนุษย์ไม่ได้มีความเข้าใจเลยว่าวัตถุประสงค์ที่ท่านเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น เพื่ออะไร.... การกระทำ (กรรม) ความโกรธ ความเกลียดชัง ความอิจฉาริษยา การทำลายล้าง และความชั่วร้ายอีกมากที่พวกท่านส่วนใหญ่ชอบกระทำกัน ทั้งด้วยสำนึก หรือไม่สำนึกก็ตาม เหล่านี้มีผลกระทบถึงพลังงานหรือสนามพลังที่เชื่อมต่อระหว่างภพ และระหว่างดวงดาว วิวัฒนาการของชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ ทั่วเอกภพนี้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงถึงกันหมด การกระทำในทางลบ (ความชั่วร้ายต่าง ๆ) ส่งผลกระเทือนทำให้เกิดการเสียสมดุลย์ของการพัฒนาทางชีวิตในพิภพและในมิติ อื่น ๆ ทั่วไปหมด ...... ด้วยการยกระดับจิตสำนึก (Consciousness) ของมนุษย์บนโลกนี้ให้สูงขึ้นเท่านั้น ที่เป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยถ่วงสมดุลของการพัฒนาทางพลังชีวิตในกาแลกซี่นี้ ได้ บนโลกมนุษย์นี้เป็นแหล่งหนึ่งที่รวมของวิญญาณ หรือพลังชีวิตที่มาจากที่อื่น ไว้ในรูปแบบชีวิตที่เป็น นามรูป พลังชีวิตจะต้องมาที่นี่เพื่อการเรียนรู้ความมีชีวิตในรูปแบบของความเป็นมวล สารวัตถุธาตุ นี่คือส่วนหนึ่งของวงจรการพัฒนาไปสู่ชีวิตในรูปแบบที่สูงกว่า  

แต่โลกมนุษย์แห่งนี้เกิดมีความหนาแน่นเหมือนกับของเหลวที่เข้มข้น พลังชีวิตจำนวนมากได้มาที่นี่ตามวงจรของมัน แต่ต้องติดอยู่ที่นี่ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ที่นี่ ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ชีวิตในรูปแบบที่สูงกว่าได้ มีพลังชีวิตจำนวนน้อยที่สามารถหลุดออกไปได้จากพิภพโลก แต่พลังชีวิตระดับต่ำกว่าอีกมากก็กำลังเดินทางตามวิถีของมันมาสู่โลก ซึ่งจะต้องมาติดอยู่ที่นี่ เมื่อความหนาแน่นเพิ่มมากขึ้น สมดุลย์ต่าง ๆ ก็จะถูกทำลาย...ด้วยความร่วมมือกันระหว่างเรากับมนุษย์ต่างพิภพหลายกลุ่ม ซึ่งมีระดับชีวิตสูงกว่าท่าน เราวางโครงการปรับสมดุลย์พลังชีวิต เรากระทำมาแล้วในที่อื่น ๆ ซึ่งมีปัญหาแตกต่างกัน และเรากำลังจะทำให้กับมนุษย์บนพิภพโลก..."
.....................................................................................................




มนุษยชาติกับจานบิน (5)

"ในการเตรียมงานตามแผนที่หนึ่ง คือการลงจอดบนพิภพโลก กลุ่มผู้แทนจากหน่วยงานใหญ่ได้เข้าสำรวจสภาวะ  และสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลไว้เรียบร้อยแล้ว เรื่องยูเอฟโอที่พวกมนุษย์ตกใจและพากันสงสัย นั่นคือยานของพวกที่มาทำการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการประเมินผล การทดลอง และทดสอบข้อมูลต่าง ๆ ได้กระทำสำเร็จไปแล้วหลายเรื่อง เราเตรียมการทุกอย่างเพื่อดำเนินเข้าสู่แผนที่หนึ่ง เมื่อเวลานั้นมาถึง ปฏิบัติการลงสู่พื้นพิภพจะทำให้มนุษย์ส่วนหนึ่งตกใจ และเกิดปฎิกิริยาโต้ตอบอย่างรุนแรง

เราได้ศึกษาแล้วว่าช่วงเวลานั้นจะไม่กินเวลานานเท่าใด ความกระทบกระเทือนจะไม่ก่อให้เกิดผล
การเปลี่ยนแปลงมากถึงกับเกิดการเสียหาย หรือเกิดสภาพที่เรียกว่า "สังคมช้อค" มนุษย์จะยอมรับพวกที่มาลงโดยดี"

"พูดถึงจานบิน ผมอยากทราบว่ามันเป็นอะไรกันแน่" ดร.แอนดริจาถามต่อไป

"ส่วนใหญ่แล้ว ยานบิน ที่มาปรากฏบนโลกของท่านเป็นยานบินของพวกสมาชิกกลุ่มสากล
มาจากดวงดาวหลายแห่ง ยานพวกนี้มาในรูปแบบของวัตถุที่เป็นมวลสาร แต่มียานบินของพวกเราบางครั้งได้ถูกส่งมาเพื่อปฏิบัติการบางอย่าง
ยานพวกนี้เป็น "เครื่องจักรไร้มวลสาร" (Non physical)

"ผมยังไม่เข้าใจเหตุผลอันใดในการมาของพวกยานอวกาศขององค์การหรือกลุ่มสมาชิกอะไรนั่น
พวกเขาจะได้อะไรเป็นการตอบแทน จากการทำโครงการลงจอดนี้"

"ในการที่จะทำให้จักรวาลนี้มีวิวัฒนาการไปอย่างสมดุลย์ด้วยดี...มันยากที่พวกมนุษย์จะเข้าใจถึงสิ่งเหล่านี้...
แต่มันมีความสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะต้องช่วยให้วิถีของการพัฒนาทางพลังชีวิตอยู่ในสมดุลย์" ..

"ที่ว่าสมดุลย์นั้น หมายถึงสมดุลย์ของอะไรกับอะไรมิทราบ".....แอนดริจาชัก เงียบไปสักครู่ ทอมจึงตอบ

"สมดุลย์ระหว่างพลังของชีวิต (Souls) กับชีวิตแบบกายภาพ" ....

"ช่วยบอกผมเกี่ยวกับตัวท่าน และพวกที่จะมากับจานบินหน่อยซิว่าเป็นอย่างไร...ต้องการรายละเอียด"

"พวกที่จะมาลงบนโลกนี้ด้วยจานบินเป็นมนุษย์คล้ายพวกมนุษย์โลก เป็นสมาชิกขององค์การสากลจักรวาลรับอาสามาทำงานให้โครงการของเรา"

"ได้รับผลตอบแทนอย่างไรในการรับอาสานี้"

"เขาเป็นสิ่งมีชีวิตในรูปกายภาค มีตัวตนเหมือนคนบนโลกนี้ แต่มีความเจริญทางภูมิปัญญาและเทคโนโลยีสูงมาก
ทั้งทางด้านวัตถุและทางด้านจิตใจได้พัฒนาเข้าสู่จุดสูงสุดของการพัฒนาทางยีนส์ โครงสร้างทางชีวเคมี
พวกเขามีความเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับกฎธรรมชาติของชีวิตและสรรพสิ่งทั้งหลายในสากลจักรวาล (Cosmic Laws)
พวกเขาจะลงมาช่วยทำแผนการยกระดับจิตให้แก่มนุษย์โลก เพราะเขามองเห็นผลร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น
ถ้าหากปล่อยให้การเสียสมดุลย์เกิดขึ้นมากกว่านี้" ...

"เอาละผมพอเข้าใจ แต่ยังมีข้อข้องใจอยู่อีกมาก" ...

"จงตั้งคำถามเถิด"

"ท่านว่าพวกเราไม่เข้าใจความหมายของชีวิต ท่านจะบอกเราได้ไหมว่า มนุษย์เกิดมาทำไม?
มาอยู่บนโลกนี้เพื่ออะไร? มาได้อย่างไร? และเรามาจากไหนไม่ทราบ?" ...

เสียงการติดต่อเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงดังมาอีก "มนุษย์ทั้งหลายบนโลกมนุษย์นี้ มาจากเราทั้งสิ้น
ปัญหา ที่ถามมาเป็นปัญหาที่คนทั้งโลกอยากจะทราบ แต่มีคนไม่กี่คนที่ทราบคำตอบนี้ หรือเคยทราบคำตอบนี้ และได้พยายามบอกเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่มักจะได้รับการปฎิเสธเสมอมา ชีวิตมนุษย์ทุกคนเกิดมาจากสะเก็ดส่วนย่อย ๆ ของพลังชีวิตของเราที่หลุดออกไป แต่ละหน่วยประกายพลังชีวิตที่แตกออกไปจะต้องผ่านเข้าสู่วิถีตามกฎของ ธรรมชาติแห่งสากลจักรวาล

มัน จะต้องไปถือกำเนิดในรูปต่าง ๆ เป็นลำดับแล้วแต่ความต้องการที่มันยึดเหนี่ยวหรือประจุกรรมของมันจะส่งมันไป จนกระทั่งมาสู่โลกมนุษย์ มันอาจจะถือกำเนิดเป็นสัตว์ชั้นต่ำ หรือมนุษย์ก็ได้
การถือกำเนิดในแต่ละชาติเป็นไปตามกำลังของประจุกรรมที่มันยึดเหนี่ยวเอาไว้
การเรียนรู้และได้เข้าประสบกับความเป็นชีวิตในแต่ละชาติเท่ากับการสะสมประจุกรรม
ประจุ กรรมอย่างหนึ่งจะนำมันไปสู่อีกอย่างหนึ่ง จากโลกนี้ไปแล้วก็ไปสู่โลกอื่นที่มีรูปแบบของชีวิตต่าง ๆ ไปสู่ชีวิตที่มีระดับสูงกว่า มีระดับจิตสูงกว่า เมื่อพัฒนาไปจนถึงระดับสูงสุดของชีวิตแบบนามรูปนี้แล้ว ก็ถึงจุดแห่งการ " สละรูป " นั่นคือการสะสมประจุกรรมกำลังจะหมดเชื้อมันจะกลับกลายมาเป็นพลังชีวิต บริสุทธิ์ กลับมารวมกับเราและเป็นเรา "




มนุษยชาติกับจานบิน (6)


"แล้วท่านว่าโลกนี้มันหนาแน่น และมีการสะสมพวกพลังชีวิตไว้มากจนเสียสมดุลย์นั้น มันเกี่ยวอะไรกันด้วย"

"เกี่ยว กันโดยตรง โลกกำลังสะสมเกิดความหนาแน่นมากขึ้นทุกขณะ การสะสมและความหนาแน่นทำให้ชีวิตอัดประจุกรรมไว้สูงมาก การพัฒนาจะกลับถอยลงสู่ระดับต่ำ ในชีวิตระดับต่ำประจุกรรมมีการสะสมน้อย และไม่หนาแน่น ชีวิตก็จะคายประจุกรรมออก เมื่อประจุกรรมลดลง การพัฒนาก็เดินหน้าสู่ระดับสูงขึ้นอีก แต่จะมาติดอยู่บนโลก เดินหน้าต่อไปไม่ได้ เมื่อชีวิตมาอุบัติเป็นมนุษย์ประจุกรรมจะถูกสะสมอย่างหนาแน่น เกินกว่าจะพัฒนาต่อไปในระดับที่สูงกว่านี้ได้ การพัฒนาของชีวิตต้องสะดุดหยุดลงที่นี่"

"ที่ว่าหนาแน่นนั้น ...อะไรหนาแน่น"

"ความ หนาแน่นที่เราพูดถึงคือ ความชั่ว ความมัวเมา ความลุ่มหลง ความไม่เข้าใจในความจริงของธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ได้สะสมขึ้นมากมาย และเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดถึงลูกหลานได้ ส่วนใหญ่โดยทางวัตถุธาตุ มวลสาร มนุษย์มีความเจริญทางด้านวัตถุธรรม ซึ่งเป็นความเจริญที่เป็นไปเพื่อสนองความต้องการ อันเกิดจากความหลงผิด ลุ่มหลง และมืดมน มัวเมา ความเจริญในทางนี้ทำให้ความเจริญทางด้านจิตใจหยุดงักลง อันที่จริงทั้งสองอย่างนี้จะต้องมีการวิวัฒนาการควบคู่กันไป การพัฒนาของชีวิตในรูปแบบมนุษย์จึงจะอยู่ในสมดุลย์ ขณะนี้มันได้เอียงออกนอกฐานของความสมดุลย์ไปแล้ว ถ้าไม่หยุดยั้งทันท่วงที จุดจบทั้งหมดของการพัฒนาจะมาถึง......มนุษย์ใช้เวลาสะสมพัฒนารูปแบบของชีวิต มาเป็นเวลาหลายล้านปีกว่าจะมาถึงปัจจุบัน หารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังก้าวออกนอกฐานแห่งความสมดุลย์ เอนเอียงไปในด้านวัตถุปัจจัยมากเกินไป .....เราจำเป็นต้องช่วยทำให้สมดุลย์ เราเชื่อว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด ในอดีตของพวกท่านเคยมีมนุษย์ที่พัฒนาเข้าสู่ความเจริญจนเป็นพวกศิวิไลซฺ์ ชั้นสูง เจริญมากในด้านเดียว คือทางวัตถุธรรม และก็พบกับจุดจบโดยการทำลายตัวเองจนสาบสูญไปทั้งเผ่าพันธุ์ เราได้แต่เฝ้ามองพวกนั้นโดยไม่ได้ช่วยอะไร ชีวิตเหล่านั้นต้องย้อนกลับถอยหลังไปสู่จุดเริ่มวิถีของชีวิต เพราะพลังของประจุกรรมที่สั่งสมอย่างหนาแน่น ยังคงต้องกินเวลาอีกหลายพันล้านปี กว่าจะพัฒนากลับขึ้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ใหม่"

"ผมขอถามหน่อย ที่ว่าชีวิตบนโลกมาจากท่าน แล้วก็กลับไปเป็นตัวท่านใหม่ ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมจึงหลุดมาจากท่านได้ ในเมื่อท่านบอกว่า มันเป็นพลังงานชีวิตที่บริสุทธิ์"

"...นี่ เป็นธรรมชาติของตัวเราเอง จะมีเวลาหนึ่งที่พลังงานชีวิตบริสุทธิ์จะต้องเกิดประกายแตกตัวออกแล้วแผ่ กระจายไปเป็นประจุเล็ก ๆ แต่ละประจุจะมีความยึดมั่นในตัวของมันเอง ซึ่งจะนำมันไปสู่ชาติและภพที่มันต้องไปเกิดเป็นชีวิตในรูปแบบนั้น ๆ แล้วก็เริ่มต้นพัฒนาเข้าสู่วิถี เปลี่ยนแปลงภพ เปลี่ยนภูมิ ยกระดับสูงขึ้น สูงขึ้น กินเวลาหลายกัลป์กว่าจะพัฒนากลับมารวมกับเรา ท่านเข้าใจหรือยัง"

.......... เท่าที่ยกมาแสดงนี้ เป็นเพียงตัวอย่างส่วนน้อย เป็นทฤษฎีหนึ่งที่ตอบปัญหาเกี่ยวกับจานบิน และความเกี่ยวโยงไปในประวัติศาสตร์ จนถึงเรื่องของพระเจ้าอวกาศ อย่างน้อยก็เป็นทรรศนะที่จะมองปัญหาจานบินได้ นอกจากนี้แล้ว ดร.แอนดริจา และคนอื่น ๆ ยังสอบถามทอมในเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น วิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก เรื่องของการเมือง ภูมิศาสตร์ และอื่น ๆ

มนุษยชาติกับจานบิน (7)

จาก การสนทนาติดต่อกันซึ่งได้นำมาแสดงเป็นตัวอย่างนี้ จะเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด นักจานบินวิทยาหลายคนได้ช่วยกันวิเคราะห์แล้วบ้างก็เชื่อ บ้างก็ยังไม่ออกความเห็น เมื่อสมมุติว่า ทอมมีตัวตนจริง ๆ และเป็นผู้ติดต่อมาจริง ๆ คำกล่าวอ้างของทอมก็มีมูลความจริงอยู่มาก

1. ทอมสามารถอ้างประวัติศาสตร์ของโลก กล่าวถึงเวลาสถานการณ์ในอดีต รวมทั้งชื่อบุคคลต่าง ๆ ได้ถูกต้อง โดยปกติแล้วถ้าคำพูดเหล่านั้นเป็นคำพูดของตัวคนทรงเอง (นางฟิลลิส) ย่อมหมาย
ความ ว่านางฟิลลิสต้องเป็นนักประวัติศาสตร์ที่เชี่ยวชาญมาก แต่จากการสอบประวัติต่าง ๆ ของนักวิเคราะห์ได้พบว่า นางฟิลลิสเป็น หญิงธรรมดาจบการศึกษาแค่มัธยม นางไม่เคยมีความรู้ทางประวัติศาสตร์มากนักเป็นไปไม่ได้ที่นางจะสามารถอธิบาย เรื่องราวต่าง ๆ ได้ละเอียดขนาดนั้น (ที่นำมาแสดงในที่นี้เป็นเพียงส่วนน้อย) แม้ชื่อสถานที่ต่าง ๆ นั้น ผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ยังต้องเปิดเอ็นไซโคลปีเดียตรวจสอบ

2. มนุษย์ต่างดาว ทอม สามารถทำนายเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ถูกต้องเกือบ 100% (ไม่ได้นำมาแสดงในที่นี้) จากการสนทนากันในเรื่องการเมืองและสถานการณ์บนโลกปัจจุบัน (ปี พ.ศ.2490 เป็นปีที่มีการติดต่อกัน) ขณะนั้นกำลังมีวิกฤตการณ์ตึงเครียดระหว่างยิวกับอียิปต์

3. การสนทนามีการตั้งคำถามมากมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ ศาสนาคริสต์ แต่ผลของคำตอบที่ได้รับมีแนวโน้มเอียงที่ทำให้ความเชื่อถือ และความเข้าใจในเรื่องคริสตศาสนาเปลี่ยนไปอีกรูปแบบหนึ่ง
ความขัดแย้งนี้ ทำให้กลุ่มคนที่มีความเชื่อในแบบดั้งเดิมเกิดปฏิกิริยามาก ในขณะเดียวกันตัวคนทรงเองคือนางฟิลลิส เป็นคนหนึ่งที่เคร่งศาสนา และมีความเชื่อแบบดั้งเดิม ภายหลังที่ได้ฟังเทปบันทึกเสียง
การสนทนานี้ แล้ว ก็ทำให้นางไม่พอใจ และรู้สึกผิดหวังอย่างมาก นางขอถอนตัวออกจากการเป็นคนทรง และขอให้ ยูริ กิลเลอร์ (Uri Geller) นักจิตวิทยา ชาวอิสราเอล ผู้มีชื่อเสียงในเรื่องจิต มาทำหน้าที่เป็นตัวกลางติดต่อแทน นางฟิลลิสให้เหตุผลว่านางไม่ต้องการมีชื่อว่าเป็นคนทำลายความเชื่อศาสนา นางกลับเชื่อว่าทอมผู้มาเข้าทรงไม่ใช่วิญญาณฝ่ายพระเจ้า แต่เป็นวิญญาณชั่ว....แสดงว่าคำพูด
ของทอมไม่ใช่คำพูดของนางเอง ซึ่งอาจแกล้งทำหรือแต่งเติมขึ้นมา

4. ผู้ที่นำเรื่องนี้มาพิมพ์เผยแพร่ต่อสาธารณชนเป็นหนังสือพ๊อคเก็ทบุค คือ นายสจ๊วร์ท โฮลรอย์ด (Stuart Holroyd) เขียนเป็นหนังสือชื่อ " Briefing for the Landing on Planet Earth "

มนุษยชาติกับจานบิน (8) ตอนจบ




.......เราจะให้ความเชื่อถือกับเรื่องราวแบบนี้ได้มากน้อยเพียงใดขั้นแรกถ้าเรายอมรับและให้ความเชื่อถือแก่ ดร. แอนดริเจ พูฮาริช และผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ในทีมงานของเขา ซึ่งต่างยอมรับกันว่าการติดต่อโดยผ่านคนทรงครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง ปัญหาที่ตามมาคือสิ่งต่างๆ ที่ " ทอม" พูดนั้นมันเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด...

ชีวิตที่ไม่มีรูปกายมีแต่พลังงานมีจริงหรือ?
ยานบินยูเอฟโอมีทั้งยานที่สร้างด้วยมวลสาร และที่สร้างด้วยพลังงานจะเป็นไปได้อย่างไร? ยานบินที่มีเครื่องจักรไม่ได้ทำด้วยมวลสารเป็นไปได้อย่างไร?
การยกระดับจิตของมนุษย์โลกจะเป็นไปได้อย่างไร?

และปัญหาต่างๆ อีกมากมายในคำพูดของ" ทอม" มนุษย์ต่างดาวซึ่งดูแต่จะเพิ่มความพิศวงให้แก่ทุกคนมากยิ่งขึ้น

ใครจะมีคำตอบ ใครจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้กระจ่างชัดขึ้นได้?
เราจะเอาหลักวิชาอะไรมาเป็นเครื่องยืนยัน?
หลักการดังกล่าวมีอยู่บนโลกเราหรือไม่ แล้วเราจะวิเคราะห์เรื่องอย่างนี้กันได้อย่างไร ...ฯลฯ...

สิ่งเหล่านี้คือคำถามที่เพิ่มมากขึ้นๆ ดูจะไม่มีข้อยุติลงได้เหมือนกับที่ ดร.ไฮเนคเคยกล่าวเอาไว้ว่า...

" เมื่อผมยิ่งค้นคว้าเรื่องยูเอฟโอมากเท่าใดผมก็พบกับปัญหามากขึ้น ข้อมูลหนึ่งที่ได้มาอาจตอบปัญหาได้ 2-3 ข้อ แต่กลับทำให้เกิดปัญหาต่อไปอีกหลายสิบข้อ ดูเหมือนว่าข้อมูลที่ได้มานั้นคือตัวสร้างปัญหา ผมพิจารณาสิ่งเหล่านี้แล้ว ผมคิดว่าบางที...วิทยาศาสตร์และหลักวิชาของมนุษย์ปัจจุบัน ไม่ใช่เครื่องมือที่ถูกต้องสำหรับการวิเคราะห์ปัญหายูเอฟโอ...
บางทีเราต้องหาเครื่องมือหรือหลักการใหม่เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์เรื่องนี้ได้ "...

ดร.ไฮเนค คิดถูกแล้ว และเป็นความคิดที่คล้องจองกับความคิดของ ดร.แวลลี่ เช่นเดียวกัน การวิเคราะห์เรื่องยูเอฟโอจะต้องใช้วิชาการ หลักการ แนวทางใหม่ ที่ก้าวกระโดดออกไปนอกเหนือไปจากกฏเกณฑ์เดิม มันจะต้องเป็นวิชาการและหลักการใหม่ที่อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน แต่ไม่ใช่กฏเกณฑ์ใหม่ที่คัดค้านกฏเกณฑ์เดิมโดยสิ้นเชิง และสิ่งใหม่ที่เราจะต้องมองหาเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือใหม่ในการวิเคราะห์เรื่องยูเอฟโอนี้ก็มีอยู่ เครื่องมือใหม่นี้เรียกว่า

" วิทยาศาสตร์ล้ำยุค"

กลุ่มเขากะลาจะนำเสนอวิทยาศาสตร์ล้ำยุคในกระทู้ต่อไปค่ะ

จากคุณ : กลุ่มเขากะลา นครสวรรค์ 

- [09 มิ.ย. 2543 10:19:28] (203.148.191.79,)

(จบบทที่ 13)

..................