วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บทที่ 14...วิทยาศาตร์ล้ำยุค จากหนังสือจานบินวิเคราะห์

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค


จากหนังสือ จานบินวิเคราะห์  บทที่ 14 วิทยาศาสตร์ล้ำยุค

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(1)
เรื่องการเข้าทรง เรื่องจิตวิญญาณ ดูจะเป็นเรื่องเก่า ที่ตกอยู่ในลัทธิความเชื่อแบบงมงาย เพ้อฝัน เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องที่มนุษย์ยุคปัจจุบันและนักวิทยาศาสตร์ยุคอวกาศนี้ไม่ยอมรับ ยุคนี้เป็นยุคอวกาศ เป็นยุคที่เทคโนโลยี่ด้านต่างๆ เจริญสูงขึ้นมากแล้ว การจะยอมรับอะไรก็ต้องมีการพิสูจน์ตรวจสอบกันด้วยหลักวิชาด้วยหลักการวิทยาศาสตร์ เราจึงจะยอมรับ สิ่งใดที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ สิ่งนั้นถือว่าไม่จริง เป็นเรื่องโกหกเหลือจะเชื่อได้ เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น และนี่คือบุคลิกของมนุษย์ในยุคใหม่ที่ได้รับการปลูกฝังกันมาให้มีบุคลิกเช่นนั้นโดย
" ลัทธินิยมทางวิทยาศาสตร์ ในโลกของวัตถุนิยม" มันเป็นการยากที่จะหาพบบุคคลที่อยู่นอกเหนือลัทธินิยมดังกล่าวในโลกปัจจุบัน
มีคนจำนวนน้อยที่รู้ว่า " วิทยาศาสตร์ " เป็นเพียงการศึกษาข้อเท็จจริงของธรรมชาติเพียงแขนงกิ่งย่อยๆ แห่งต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเป็นธรรมชาติอันแท้จริงของเอกภพ วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังอยู่ห่างไกลจากโคนลำต้น และรากเหง้าของความจริงแห่งธรรมชาติมากนัก สำหรับเรื่องทางจิตวิญญาณ และภูตผีปีศาจอำนาจเร้นลับที่ดูคล้ายกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ (ในสายตาของวิทยาศาสตร์) เรื่องไสยศาสตร์ เรื่องอำนาจจิต เรื่องการติดต่อทางจิต การเข้าทรง เหล่านี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องของสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องความเชื่องมงายเพ้อฝัน ไม่ใช่เรื่องโกหกแต่มันเป็นเรื่องจริง และมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ....ธรรมชาติอีกกิ่งหนึ่งที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไต่ไปไม่ถึง และก็เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่มนุษย์ถูกปลูกฝังโดยลัทธินิยมโบราณของวิทยาศาสตร์ไปเสียแล้วเหมือนกับที่ ดร.ไฮเนคเคยกล่าวเอาไว้ว่า.... " ถ้าจะใช้หลักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันมาพิสูจน์ว่ายูเอฟโอมีจริง เราจะต้องรอ รอจนกว่ามนุษย์ต่างดาวจะลงมาเคาะประตูบ้าน แล้วบอกว่า....ผมมีตัวจริงๆ นะ..."

หรือเหมือนกับที่ ดร.แวลลี่เคยกล่าวเอาไว้ว่า....
" วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังสูงไม่พอ ยังมีวงที่แคบเกินไปสำหรับการที่จะนำเอามาให้เป็นหลักการในการพิสูจน์ว่า ยูเอฟโอมีจริง...เราต้องการหลักการใหม่ที่ก้าวกระโดดไปไกลกว่าวิทยาศาสตร์ เราต้องการหลักการที่ล้ำยุคไปกว่านี้ และเราต้องการวิธีการใหม่ทั้งหมด สำหรับการพิสูจน์เรื่องยูเอฟโอ" ...หลักการใหม่ วิธีการใหม่นั้นเราจะหามาจากไหน ?

ใครจะเป็นคนคิดขึ้นมาใหม่ได้
?

นี่คือปัญหาใหญ่...แต่แท้ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปคิดหรือแสวงหามาจากไหนเลย แต่สาเหตุใหญ่ที่ไม่มีใครมองเห็นก็เพราะความงมงายตกอยู่ในลัทธินิยมโบราณของวิทยาศาสตร์โดยไม่รู้ตัว หลักการที่ใช้ได้ดีและแน่นอนนี้ มีผู้ค้นพบมานานแล้วถึง
2523 ปี ผู้ค้นพบนี้มีชื่อว่า " พระพุทธโคดม" หรือที่เราชาวประชายุคปัจจุบันเรียกว่า " พระพุทธเจ้า"



 
วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(2)

พวกหัววิทยาศาสตร์คงส่ายหน้าเมื่ออ่านมาถึงตอนนี้....ทั้งนี้เพราะเขาเหล่านั้นยังมีบุคลิกของลัทธิวิทยาศาสตร์โบราณฝังแน่น นักวิทยาศาสตร์ผู้เก่งกล้า อาจจะข้าใจว่า E=mc ยกกำลัง 2 หมายความว่าอย่างไร แต่เขาอาจไม่เข้าใจเลยว่า E (E หมายถึงพลังงาน) ตัวนี้เป็น "พลังงานทุติยภูมิ" (Secondary Energy) นักวิทยาศาสตร์อาจพิสูจน์ได้ว่า E = mc ยกกำลัง 2 หมายถึง "พลังงานเป็นปัจจัยทำให้เกิดมวลสาร มวลสารเป็นปัจจัยให้เกิดพลังงาน"  ซึ่งนั่นเป็นการพิสูจน์อยู่ในโลกของวัตถุนิยม แต่เขาอาจไม่เข้าใจเลยว่า "วิญญาณเป็นปัจจัยทำให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ" ในเรื่องราวความรู้ และคำสอนในพระไตรปิฎก มีหลายตอนที่กล่าวถึงเรื่องของธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันเพิ่งค้นพบ และที่ยังค้นไม่พบ

.....โดยแท้จริงแล้วหลักการในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ศาสนา ไม่ใช่ปรัชญา แต่มันเป็น "ศาสตร์" เป็นวิทยาศาสตร์เต็มตัว ซึ่งสามารถอธิบายความจริงในธรรมชาติของเอกภพนี้ และของเอกภพอื่นได้หมด ความรู้และความจริงในพุทธศาสนา ไม่ใช่ลัทธิสั่งสอนที่งมงาย แต่มันเป็นหลักการและทฤษฎีที่ครอบคลุมสภาวะธรรมชาติโดยสมบูรณ์ มีเนื้อหาสาระที่กว้างไกลกว่าวิทยาศาสตร์ปัจจุบันจะหยั่งถึง มันคือวิทยาศาสตร์ล้ำยุคเหนือกาลเวลา หลักพุทธศาสนาเน้นการตรวจสอบ (Verification) ด้วยตนเองให้รู้แจ้งเห็นจริง เหนือไปกว่าการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าเน้นการพิสูจน์ให้เห็นจริงแจ้งชัด ห้ามการเชื่อฟังตามกันมา ห้ามการเชื่อข่าวลือ ห้ามเชื่อถือเพราะเป็นลัทธิวัฒนธรรม ห้ามเชื่อตำรา ไม่ให้เชื่อเพราะการคาดเดาตามหลักตรรกวิทยา ห้ามเชื่อจากคำพูดของผู้พูดที่น่าเชื่อถือ เช่น ครูบาอาจารย์ สิ่งเดียวที่จะเชื่อได้คือ ต้องเข้าทำการพิสูจน์วิเคราะห์ด้วยตัวเองเท่านั้น

นอกจากนี้แล้วพุทธศาสนายังกล่าวถึงเรื่องราวที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับโครงสร้างจักรวาล ทั้งจักรวาลนี้ และจักรวาลอื่น ๆ กล่าวถึงกำเนิดของมนุษย์ กล่าวถึงวิทยาศาสตร์ในสาขานิวเคลียร์ฟิสิกส์ชั้นสูง กล่าวถึงพลังงานที่มีทั้ง "พลังงานปฐมภูมิ (Primary Energy)" และ "พลังงานทุติยภูมิ (Secondary Energy)" กล่าวถึงการใช้พลังงานปฐมภูมิควบคุมมวลสาร กล่าวถึงวิธีการส่งสัญญาณโทรคมนาคมที่อยู่เหนือกาลเวลา กล่าวถึงการเดินทางข้ามมิติภพ กล่าวถึงการสร้างยานวิถีขับเคลื่อนด้วยพลังงานปฐมภูมิเพื่อเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสง สามารถทะลุทะลวงไปในมิติต่าง ๆ ผ่านเข้าออกในประตูของกาลเวลา มุ่งไปสู่ดวงดาวนับล้าน ๆ ดวงในจักรวาลโดยไม่จำกัดขอบเขต และกล่าวถึงสิ่งมีชีวิตในระดับต่าง ๆ กันที่มีอยู่มากมายทั้งในมิติภพนี้ และบนพิภพอื่น ๆ

มิติอื่น ๆ ในพระไตรปิฎกมีเรื่องราวที่กล่าวถึงสิ่งที่มีชีวิตต่าง ๆ ว่า มีอยู่ 32 รูปแบบ เป็นรูปแบบที่อาศัยมวลมีเนื้อมีหนังทั้งหยาบ และละเอียดแตกต่างกันไปถึง 27 รูปแบบ และมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาศัยมวลเป็นตัวตน แต่อยู่ในรูปแบบของพลังงานอีก 5 แบบ ชีวิตที่ต้องอาศัยมวลก็สามารถมีสัมผัสสื่อสารติดต่อกันได้เฉพาะในรูปแบบเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน และต้องอาศัยสื่อกลางในการติดต่อเป็นสำคัญโดยผ่านทางพลังงานทุติยภูมิ และทางมวลสารวัตถุ สิ่งมีชีวิตประเภทนี้ก็มีร่างกายเป็นมวลที่ละเอียดไม่สะท้อนแสง และไม่ดูดซับแสง ตาเนื้อของมนุษย์เราจึงมองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้ บางชนิดประกอบด้วยร่างที่เป็นมวลสารที่กึ่งพลังงาน หรือที่เรียกกันว่า สถานะพลาสมา (Plasma) เป็นสภาวะที่ละเอียดอ่อนมาก ได้แก่พวกพรหม ส่วนพวกที่มีรูปกายเป็นมวลสารประกอบจากพลังงานทุติภูมิ คือพวก "กามภพ" ได้แก่มนุษย์ สัตว์ และเทวดาบางชนิด(มนุษย์ต่างดาว) สิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาจศึกษาได้จากตำราทางพุทธศาสนา ถ้าจะศึกษากันในแง่ของวิชาการยุคอวกาศแล้ว ศาสตร์ทางพุทธศาสนาก็สามารถอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ของ ยูเอฟโอ ได้หมดทีเดียว.

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(3)
ในหนังสือเรื่อง "พุทธศาสตร์" ของ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีทางการศึกษามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้เขียนแนวคิดสมมุติฐานเกี่ยวกับชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในจักรวาล โดยท่านคิดขึ้นแล้วปรากฏว่าไปตรงกับหลักอรรถาธิบายที่มีอยู่แล้วในพระไตรปิฎกทุกประการ สมมุติฐานนี้ท่านได้ใช้การอธิบายทางวิทยาศาสตร์ด้วยภาษาวิทยาศาสตร์ สำหรับมนุษย์ยุคปัจจุบันจะเข้าใจได้ทันที เมื่อได้อ่านแล้วอาจไม่เชื่อว่านี่คือ ความจริงที่มีอยู่แล้วในพระไตรปิฎกทั้งสิ้น ณ ที่นี้ก็ขอยกสมมุติฐานของ ดร.ชัยยงค์ มาแสดงเพียงเป็นตัวอย่างเท่านั้นดังนี้
สมมุติฐานเกี่ยวกับชีวิต โดยสังเขปมี 6 ข้อคือ
1) สิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบ ทั้งพืช สัตว์ และคน มีพลังชีวิตซึ่งมีธรรมชาติเหมือนกัน แต่มีระดับของพลังในการมาเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตในแต่ละรูปแบบแตกต่างกัน พลังงานที่ใช้มาเกิดมีหน่วยเป็น LV. (LV-แอลวี-ย่อมาจาก "Life Vitatis" เช่นเกิดเป็นมด มี 1 LV. เกิดเป็นสุนัขมี 20,000 ถึง 30,000 LV. เกิดเป็นคนมี 40,000 ถึง 200,000 LV.)

2) ระดับของพลังชีวิตของมนุษย์ทุกคนเป็นผลรวมของ 3 องค์ประกอบคือ:

2.1 ได้จากพลังชีวิตของพ่อแม่

2.2 ได้จากรังสีของดวงดาวที่ตกลงมา ณ จุดกำเนิด

2.3 ได้จากพลังชีวิตของตนเองก่อนมาเกิด เป็นพลังเดิมที่สะสมไว้ในจิตและความทรงจำต่าง ๆ ซึ่งมีความถี่ต่าง ๆ กัน หากจิตมีพลังต่ำก็อาจเกิดเป็นแมลง เป็นสัตว์เดียรัจฉานชั้นต่ำ หากมีพลังสูงก็อาจเกิดเป็นคน เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ต่างมิติภพ

3) พลังชีวิตที่ได้รับตอนกำเนิด เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้จากการแบ่งอะตอมในร่างกายเป็นสัดส่วนกับการกระทำ (Process) ทำให้มีระยะพิสัยต่ำสุด และสูงสุดของพลังชีวิต นั่นคือ หากพลังชีวิตลดลงเลยขีดพิสัยต่ำสุด ร่างกายก็ดำรงอยู่ไม่ได้ หากพลังชีวิตเพิ่มเลยขีดพิสัยสูงสุด ร่างกายก็ทนไม่ได้เช่นกัน

4) เมื่อร่างกายดับไปแล้ว จิตจะถูกดูดไปยังแหล่งพลังงานที่เหนือกว่า พลังงานที่ดูดจิตไปนี้ กระจายอยู่ทั่วไปในจักรวาลซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ:-

ก) ส่วนที่อยู่ในสภาวะติดกับมวล (Mass)

ข) ส่วนที่อยู่ในสภาวะมวลซึ่งเริ่มเป็นพลังงาน (Plasma)

ค) ส่วนที่อยู่ในสภาวะพลังงาน (Energy)
ตามสมมุติฐานข้อนี้หมายความว่า เมื่อชีวิตหนึ่งตาย จิตจะแยกจากร่างกาย หากจิตมีพลังงานสะสมรวมเพียง 550 LV ก็จะถูกดูดไปยังส่วนที่อยู่ในสภาวะติดกับมวล และจะเข้ารวมกับมวลก่อรูปขึ้นเป็นร่างกายที่มีมวลสารอีก หากมีพลังงานสะสมมากเช่นมีถึง 300,000 LV. ก็จะถูกดูดไปยังส่วนสภาวะพลังงาน และเกิดเป็นชีวิตที่มีรูปแบบเป็นพลังงาน ไม่มีมวลเป็นร่างกาย (เรียกว่าไปเกิดในพรหมโลก)

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(4)
5) พลังชีวิตที่จิตใช้เป็นพลังงานรูปหนึ่ง ซึ่งมีธรรมชาติเป็นกัมมันตภาพรังสี และมีความเร็วสูงจนเทียบอัตราความเร็วต่อเวลาไม่ได้ (อกาลิโก) [พลังงานนี้คงเป็นพลังงานปฐมภูมิ-ผู้เขียน] ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ของมนุษย์โลกรู้จักพลังงานเพียงไม่กี่ชนิด เช่นพลังงานปรมณู พลังงานไฟฟ้า
พลังงานความร้อน พลังงานแสง เป็นต้น พลังงานเหล่านี้เป็นพลังงานที่จัดอยู่ในจำพวกพลังงานทุติยภูมิ เป็นพลังงานรองลงมา เป็นพลังงานที่กระจายแผ่ขยายออกมาจากการแตกดับสลายตัวของอะตอม
แต่พลังงานปฐมภูมินั้นนักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้จัก เท่าที่ทราบมีพระพุทธเจ้าองค์แรกที่เป็นผู้ค้นพบและกล่าวถึงพลังงานนี้ไว้โดยละเอียด
ต่อมาในปี พ.ศ.2483 นายแพทย์ ด๊อกเตอร์วิลเฮล์ม รีช (Dr Wilhelm Reich MD.) เป็นนักค้นคว้าวิจัยทางชีววิทยาและฟิสิกส์ เป็นอีกคนหนึ่งที่ค้นพบพลังงานอย่างเดียวกันกับที่พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ ดร.รีช เรียกมันว่า "Orgone Energy" และปัจจุบัน การค้นคว้าด้านพลาสมาฟิสิกส์ในสิ่งมีชีวิตโดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์รัสเซียก็ได้มีการประกาศว่า....พบพลังงานนี้แฝงตัวอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบเช่นกัน รัสเซียเรียกพลังงานลึกลับนี้ว่า 'Bioplasma Body' นักวิทยาศาสตร์รัสเซียกำลังศึกษากันอยู่ ยังไม่ทราบว่ามันเป็นพลังงานอะไร แต่ที่รู้แน่ ๆ คือมันไม่ใช่พลังงานในรูปใด ๆ ที่มีอยู่ในตำราวิชาฟิสิกส์มาก่อน มันมีรูปทรงเหมือนตัวสิ่งมีชีวิตที่มันแฝงตัวอยู่ทุกประการ และมันสามารถฟังชั่นได้ด้วยตัวของมันเอง หรือควบคุมการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ได้ทั้งหมด จึงเรียกมันว่า "ร่างพลาสมาในสิ่งมีชีวิต"
คนสุดท้ายที่กล่าวถึงพลังงานลึกลับนี้คือ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ ซึ่งได้กล่าวไว้ในสมมุติฐานข้อที่ 5 นี้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นพลังงานอีกอย่างหนึ่งที่มนุษย์ยังไม่รู้จักกัน
 

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(5)

5.1 พลังงานชีวิตสามารถทำปฏิกิริยากับสารเคมีบางอย่าง และสามารถบันทึกอัดเก็บไว้ได้
สมมุติฐานย่อยของข้อ 5 นี้ มีหลักฐานยืนยันได้มากมาย ดร.ชัยยงค์ ได้วิเคราะห์ภาพถ่าย พิธีพุทธาภิเษกรูปเหมือนหลวงพ่อวัดดอนตัน จังหวัดน่าน มีพระภิกษุเข้าพิธี 2 รูปคือ พระอาจารย์ไพริน นั่งอยู่ด้านซ้าย และ หลวงพ่อวัดดอนตัน นั่งอยู่ด้านขวา ตรงกลางรูปเป็นภาพเหมือนของหลวงพ่อ และลังกระดาษแม่โขงใส่เหรียญเพื่อรับการปลุกเสก ในภาพนั้น ภาพหลวงพ่อวัดดอนตันหายไป เห็นแต่อาสนะ แต่มีลักษณะเหมือนสายฟ้าฟาดจากบนลงมา พระอาจารย์ไพริน มีภาพซ้อนรวมทั้งสายสิญจน์ก็มีภาพซ้อน จึงทำให้คนดูคิดว่ากล้องถ่ายไหว แต่เมื่อพิจารณาดูดี ๆ แล้วพบว่ากล้องไม่ได้ไหว เพราะอักษร "แม่โขง" บนลังกระดาษยังชัดเจนดีทุกลัง จึงสามารถสรุปได้ว่า พลังชีวิตได้ทำปฏิกิริยากับสารเคมี และคงมีแรงสูงมาก

นอกจากภาพพลังชีวิตนี้แล้วยังมีการค้นคว้าใหม่ ๆ ในต่างประเทศอีกที่สนับสนุนสมมุติฐานย่อยข้อนี้ เช่น การทดลองถ่ายภาพด้วยกล้องพิเศษเรียกว่า "การถ่ายภาพแบบเคอร์เลียน" (Kirlian Photography) เคอร์เลียนเป็นนักอีเลคโทรนิคส์ชาวรัสเซีย ได้ค้นพบการถ่ายภาพ "พลังชีวิต" โดยบังเอิญ และต่อมาได้พัฒนาอุปกรณ์เครื่องถ่ายภาพพลังชีวิตขึ้นสำเร็จ เขาพบว่าสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบจะมีพลังงานอย่างหนึ่งเปล่งออกมาโดยรอบ ซึ่งสามารถถ่ายภาพไว้ได้ด้วยเทคนิคเครื่องถ่ายภาพอีเลคโทรนิคส์ที่เขาประดิษฐ์ขึ้น ภาพถ่ายของเคอร์เลียนนับจำนวนเป็นหมื่น ๆ ภาพได้ถูกนักวิทยาศาสตร์นำไปวิเคราะห์ และต่างลงความเห็นว่ามันเป็นสิ่งใหม่ที่วิทยาศาสตร์ยังไม่มีคำตอบ

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา ที่มหาวิทยาลัย UCLA ก็กำลังดำเนินการวิเคราะห์วิจัยเรื่องนี้อยู่ และได้ประดิษฐ์กล้องถ่ายภาพยนตร์สำหรับถ่ายภาพพลังชีวิตได้สำเร็จ นำมาซึ่งปัญหาและความงุนงงให้แก่นักวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น เมื่อฟิล์มภาพยนตร์ถูกนำมาวิเคราะห์ได้มีการค้นพบสิ่งประหลาดที่ไม่มีใครเคยคาดฝันมาก่อนหลายอย่าง เช่น พบว่าพลังชีวิตที่แผ่ออกมารอบตัวคนมีกำลังสว่างมากน้อย หรือหรี่อ่อนลงได้ตามอารมณ์ความนึกคิดของเจ้าตัว เมื่อนำใบไม้มาถ่ายพบว่าใบไม้สดมีพลังชีวิตส่องสว่างเจิดจ้า แต่พอเก็บทิ้งไว้หลาย ๆ วัน พลังชีวิตจะค่อย ๆ อ่อนลง ๆ และจางหายหมดไป เมื่อใบไม้เหี่ยวแห้งตายไป เมื่อนำใบไม้สด ๆ มาตัดออกไปแล้ว หรือฉีกออกครึ่งหนึ่ง พบว่าส่วนที่ถูกตัดออกไปแล้ว จะยังคงมีแสงพลังชีวิต มีรูปร่างเหมือนส่วนเดิมนั้นยังคงปรากฏอยู่ได้นานถึง 10 วินาที จึงเรียกว่า "รูปปีศาจใบไม้" (Phantom Leaf) และยังพบอีกว่าคนที่เข้าสมาธิได้ดีนั้น จะปรากฏว่าแสงพลังชีวิตเจิดจ้า และบางครั้งก็รวมกลุ่มหนาแน่นอยู่ตรงบริเวณหัว หรือปลายนิ้วมือ พบว่าคนที่ดื่มเหล้าเข้าไปมาก ๆ จะทำให้แสงพลังชีวิตหรี่ลงผิดคนธรรมดา

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(6)

5.2 พลังงานชีวิต สามารถอัด(charge) ลด และแผ่กัมมันตภาพรังสีได้ หมายความว่าผู้ที่มีพลังชีวิตสามารถอัดพลังชีวิตถ่ายทอดลงไปในมวลทุกประเภท หรือถ่ายให้อีกคนหนึ่งก็ได้ เช่น ถ่ายลงดิน (เรียกว่าปลุกเสกพระเครื่อง) อัดลงในน้ำ เช่น น้ำพระพุทธมนต์ สมมุติฐานข้อนี้สามารถนำไปใช้อธิบายเรื่องปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ได้ เช่น พระพุทธรูปได้รับการอัดพลังไว้ 15,000 LV. พระพุทธรูปองค์นี้จะมีกัมมันตภาพรังสีที่มีผลได้ 2 ทางคือ

ก) ผู้มี LV. ต่ำ จะขาดภูมิคุ้มกันกัมมันตภาพรังสี หากนำวัตถุมาไว้ที่บ้านก็อาจเป็นอันตรายต่อระบบประสาทและสมอง เกิดล้มป่วยได้ พูดง่าย ๆ คือคนชั่ว มี LV. ต่ำ ดังนั้นพระเครื่องที่ห้อยคอก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ มีแต่จะทำให้เกิดภัยเพิ่มมากขึ้นแก่ตนเอง

ข) ผู้มี LV. สูงอยู่แล้ว พลังงานของพระพุทธรูปจะเพิ่มพลังชีวิตให้สูงยิ่งขึ้น แต่ถ้าเพิ่มระดับ LV. สูงเกินพิกัดสูงสุด คนนั้นก็ดับชีวิตได้เช่นกัน เรียกว่าตายดี

ทฤษฎีสนับสนุนเรื่องนี้เป็นไปได้ ตามทฤษฎี Orgone Energy ซึ่ง ดร.ริช เขียนไว้ว่า กฎข้อหนึ่งของพลังงานนี้คือ ..... "มันจะไหลจากแหล่งที่มีความต่างศักย์ต่ำ ไปสู่แหล่งที่มีความต่างศักย์สูงกว่า"...... ซึ่งตรงกันข้ามกับการไหลของพลังงานทุตยภูมิทั้งหลาย อย่างเช่นไฟฟ้า ความร้อน เป็นต้น พลังงานทุติยภูมิจะไหลถ่ายเทจากแหล่งศักย์ดาสูงไปสู่แหล่งศักย์ดาต่ำ

5.3 พลังงานชีวิต มีอานุภาพและความเร็วสูงมาก สามารถทะลุทะลวงผ่านอะตอมมวลสารได้ทุกชนิด
สมมุติฐานย่อยข้อนี้ ดร.ชัยยงค์ อธิบายเปรียบเทียบกับหลักพระพุทธศาสนาว่า โดยที่มีพุทธดำรัสว่า " ไม่มีแรงใดเหนือแรงกรรม" พลังงานชีวิตนี้น่าจะเป็นพลังงานที่ทำให้เกิดแรงชนิดหนึ่งเรียกว่า "กรรม" พลังงานนี้สามารถทะลุทะลวงผ่านอีเลคตรอนเข้าไปทำลาย หรือแบ่งโปรตอนของมวลได้ นั่นคือเมื่อจำนวนโปรตอนถูกแบ่งเปลี่ยนจำนวนไป สารหรือธาตุนั้นก็เปลี่ยนไป เช่น ดินอาจเปลี่ยนเป็นทองคำก็ได้

อะตอมของมะเร็งในร่างกายก็อาจทำลายได้ด้วยพลังชีวิตนี่เอง และด้วยความรวดเร็วปานใจนึก พลังชีวิตอาจถูกส่งออกไปยังที่ใดก็ได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงระยะทาง โดยปราศจากความแตกต่างของเวลา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจิต และอำนาจของพลังงานที่จิตสะสมเอาไว้ และที่สำคัญคือ จิตนั้นรู้วิธีการในอันที่จะฉายพลัง หรือส่งพลังในระดับความถี่ต่าง ๆ ได้เหมือนการจูนคลื่นวิทยุ ถ้าจิตหนึ่งสามารถควบคุมปรับความถี่ของพลังงานชีวิตให้ตรงกับอีกจิตหนึ่งได้ ความรู้สึกนึกคิดของจิตทั้งสองก็สามารถเชื่อมต่อ ส่งข่าวถึงกันได้.

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(7)

6). ชีวิตมี " จิต " เป็นตัวขับเคลื่อน จิตเป็นสภาวะนามธรรม หากปราศจากจิตชีวิตจะดำเนินไปไม่ได้ ร่างกายจึงเปรียบได้กับรถยนต์ที่มีจิตเป็นผู้ขับขี่ จิตใช้กรรมเป็นเชื้อเพลิง เมื่อร่างกายแตกดับควบคุมไม่ได้ (รถยนต์เสีย) จิตก็ต้องสละร่างทิ้ง ออกจากร่างกายไป จิตที่ไม่เข้มแข็งย่อมอาจถูกจิตภายนอกที่มีพลังสูงกว่าเข้ามาแทรกแซงได้ กรณีของการเข้าทรงผีทรงเจ้า ก็คือกรณีของผู้มีบุคลิกตั้งแต่ 2 บุคลิกขึ้นไป (Multiple personality) ซึ่งถือว่าเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง บางครั้งเกิดจากจิตของคน ๆ นั้นอ่อนมาก จิตของผู้ที่แข็งกว่าจึงผลักจิตเดิมออก หรือกดจิตเดิมเอาไว้ แล้วเข้าแทรกแซงขับเคลื่อนร่างกายแทน

โดยปรกติจิตจะรักษา เอกภาพ (Identity) ของตัวเองไว้เสมอ และจดจำเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตได้หมด แต่เมื่อมายึดกับมวล (สิงในร่างกาย) พลังงานชีวิตจะอ่อนลง เพราะพลังส่วนหนึ่งต้องถูกนำไปใช้ในการควบคุมร่างกาย ควบคุมการสลายตัวของพลังงานทุตยภูมิเพื่อนำไปใช้ให้เกิดแรงงานต่าง ๆ เมื่อพลังชีวิตอ่อนลง การระลึกถึงชาติก่อนจึงทำไม่ได้ แต่ข้อมูลนั้น ๆ ยังอยู่ ข้อมูลทุกอย่างที่ผ่านเข้าไปในจิตย่อมฝังแน่นไม่เลือนหายไปไหน หากผู้ใดปฏิบัติสมาธิฝึกจิตให้ดี คือการวางเฉยจากร่างกายและความคิดอื่น ๆ ให้หมด รวบรวมพลังชีวิตที่มีอยู่โน้มน้าวมาเพื่อใช้ในการอ่านแถบบันทึกเหตุการณ์ในอดีต ก็ย่อมสามารถที่จะนึกลงไปในอดีตมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่า พลังชีวิตของผู้นั้น จะมีความแรงกล้าฝ่าทะลุตู้เซฟแห่งความทรงจำลงไปได้แค่ไหน.

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(8)
คำว่า "จิต" มิได้หมายถึงสิ่งที่มีตัวมีตน ในทางพุทธศาสนาได้อธิบายไว้อย่างลึกซึ้ง รวมใจความว่า หมายความว่า "ผู้สะสม" มิได้เป็นวัตถุก้อนกลม ๆ หรือก้อนพลังงานอะไรที่วิ่งออกจากร่างคนที่ตายไปเข้าร่างใหม่ดังที่เข้าใจกันอยู่ในปัจจุบัน จิตเป็นเพียงการรวมกลุ่มของพลังชีวิตที่มีทั้งบวกและลบ (ดีและชั่ว) มันเป็นระบบกลไกอันสลับซับซ้อน ต้องศึกษากันนานกว่าจะเข้าใจ ซึ่งจะไม่ขอยกมาอธิบาย ณ ที่นี้ มันเปรียบได้กับไดนาโมหรือเครื่องปั่นไฟ ต้องมีระบบกลไกหลายส่วนประกอบกันจึงจะเป็นเครื่องปั่นไฟฟ้าออกมาได้ แต่ถ้านำมารื้อออกดูแต่ละชิ้นส่วนก็ไม่สามารถบอกได้ว่าไฟฟ้าออกมาได้จากส่วนไหนของเครื่องปั่นไฟ สำหรับจิตมีความซับซ้อนยิ่งกว่านั้นมากหลายพันเท่า เพราะมันเปรียบเสมือนเครื่องยนต์มหัศจรรย์ที่มีส่วนประกอบที่เป็นมวลสาร และเป็นพลังงาน เป็นเครื่องจักรเชิงซ้อนมีทั้งชิ้นส่วนที่เป็นมวลสารและไร้มวลสารทำงานร่วมกัน (เครื่องจักรเชิงซ้อนนี้หมายถึงจิตของมนุษย์) บางคนอาจมีหัววิทยาศาสตร์มากไปหน่อยอาจไม่เข้าใจว่าเครื่องจักรไร้มวลสารเป็นอย่างไร ผู้เขียนก็ขอแนะว่า ไอน์สไตน์เคยกล่าวว่า " Matter is a concentrated form of physical energy " แปลว่ามวลสารคือสภาพของการรวมตัวอย่างหนาแน่นของพลังงานทางฟิสิกส์ หรือพลังงานทุติยภูมิ เราก็อาจกล่าวได้ว่า จิตคือสภาพของการรวมตัวอย่างหนาแน่นของพลังงานชีวิต หรือพลังงานปฐมภูมิ เขียนเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า " Mind is a concentrated form of psychical energy " ทางด้านวัตถุปรมาณู (atom) มีลักษณะปรากฏโดยผิวเผินเป็นสสาร (matter) แต่ถ้าพิจารณาพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดกับปรากฏว่า มันเป็นกลุ่มพลังงานมีโปรตอน อีเลคตรอน นิวตรอน ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าทั้งบวกและลบ หลายหน่วยรวมอยู่ใกล้เคียงกันอย่างมีกฎเกณฑ์ เมื่อเอาอะตอมจำนวนมาก ๆ มารวมกันก็กลายเป็นมวลสารเป็นตัวเป็นตนเป็นของแข็ง ของอ่อน จับต้องมองเห็นได้ ส่วนทางด้านพลังงานปฐมภูมินั้น จิตเป็นนามธรรม แม้จะเอาความรู้สึกนึกคิดความทรงจำทั้งบวกและลบมารวมกันมากมายสักเพียงใด ก็มองไม่เห็น ลูบคลำไม่ได้ เพราะพลังงานชีวิตไม่ใช่พลังงานทางฟิสิกส์ที่มีกล่าวถึงในตำราปัจจุบันนี้ แต่มันเป็นพลังงานที่อยู่นอกเหนือไปจากกาลเวลาอวกาศ คือไม่ขึ้นอยู่กับสภาวะ 4 มิตินั่นเอง
วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(9)
ดร.วิลเฮลม ริช ภายหลังที่ได้ค้นพบพลังงานประหลาดที่อยู่นอกเหนือตำราฟิสิกส์ ซึ่งเขาให้ชื่อว่า
" พลังงานออร์กอน "
ได้ตรวจวิเคราะห์ดูพลังงานประหลาดนี้เป็นเวลากว่า 20 ปี ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตได้เขียนทฤษฎี และสมมุติฐานเกี่ยวข้องกับพลังงานนี้ไว้ว่า

1)
พลังงานออร์กอน หรือพลังงานพื้นฐาน (Primary energy) ของมวลสาร และพลังงานทางฟิสิกส์อื่น ๆ เช่นไฟฟ้า แสง เสียง ความร้อน รวมทั้งชีวิตในสากลจักรวาล

2)
พลังงานออร์กอนอาจปรากฏให้เห็นในธรรมชาติปรกติเป็นสีน้ำเงิน หรือน้ำเงินเทา แสงสีเปลี่ยนไปได้ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของพลังงาน และสภาวะตื่นตัวของมันด้วย

3)
พลังงานออร์กอน สามารถแทรกซึม ทะลุทะลวงเข้าสู่มวลสาร และสนามพลังงานทางฟิสิกส์ ได้ทุกชนิดไม่มีสิ่งยกเว้น แต่การแทรกซึมจะมีอัตราความหนาแน่นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของตัวกลางนั้นๆ

4)
ในสารอินทรีย์ทุกชนิด จะมีพลังงานออร์กอนแทรกซึมอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนในสารอนินทรีย์อาจมีพลังงานนี้แทรกซึมอยู่มากน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของสารนั้น ๆ


5)
สารอนินทรีย์ เมื่อถูกพลังงานออร์กอนแทรกซึมเข้าไป จะสามารถดูดซับพลังงานนี้ไว้ในตัวของมันได้เป็นปริมาณพิกัดหนึ่ง เมื่อถึงขีดพิกัดนี้แล้วมันจะไม่ดูดซึมอีกต่อไป แล้วจะสะท้อนพลังงานออร์กอน ออกไปไม่ให้ผ่านเข้าไปได้อีก จนกว่าพิกัดความจุในตัวมันถูกทำให้ลดลง

6)
น้ำ เป็นสารอนินทรีย์ชนิดเดียวที่ดึงดูด และดูดซึมพลังงานออร์กอนได้ดีมากที่สุด


7)
พลังงานออร์กอน เป็นพลังงานที่สามารถไหล หรือแผ่กระจายได้จากแหล่งที่มีความต่างศักย์ต่ำ
ไปสู่แหล่งที่มีความต่างศักย์สูง ตรงกันข้ามกับพลังงานอื่น ๆ ทางฟิสิกส์ที่เคยรู้จักกันมาก่อน


8)
โดยธรรมชาติที่แท้จริง พลังงานออร์กอนเป็นพลังงานที่ควบคุมการก่อรูปของมวลสาร ซึ่งตรงข้ามกับพลังงานทุติยภูมิ หรือพลังงานทางฟิสิกส์อื่น ๆ ที่รู้จักกัน พลังงานทุติยภูมิเป็นพลังงานที่เกิดจากการสลายตัวของมวล หรือการเสียสมดุลย์ของมวล จากสูตรของพลังงานที่ไอนสไตน์ ตั้งเอาไว้ว่า E = mc^2 ( E คือพลังงาน m คือมวลสาร c คือค่าความเร็วแสงในสูญญากาศ) แสดงว่าถ้ามวลสาร (m) ถูกทำให้สลายตัว จะได้พลังงานทางฟิสิกส์คือ E ออกมา E ในที่นี้คือพลังงานออร์กอนในมวลสารสลายตัวออก และแปรสภาพเข้าสู่ขอบเขตของมิติที่ 4 ปรากฏตัวออกมาในรูปของพลังงานปรมาณู ซึ่งเป็นพลังงานทุติยภูมิ
จากความรู้และข้อเท็จจริงเท่าที่ยกมาแสดงแต่เพียงเล็กน้อย พอเป็นตัวอย่างเหล่านี้ อาจใช้เป็นเครื่องอธิบายได้พอสังเขปว่า ชีวิตต่างดาว เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ชีวิตที่ไม่มีรูปกายเป็นมวลสาร ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ความเร้นลับในเรื่องจิตวิญญาณ และปรากฏการณ์เกี่ยวกับอำนาจลึกลับที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ สามารถอธิบายได้โดยหลักการของพลังงานปฐมภูมิ และท้ายสุดความรู้ความเข้าใจเหล่านี้ อาจทำให้บางคนมองเห็นว่า วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน เป็นเพียงกิ่งก้านแขนงหนึ่งของธรรมชาติทั้งหมดในจักรวาลเท่านั้น ยังมีกิ่งก้านสาขาแขนงอื่น ๆ อีกมากมายที่วิทยาศาสตร์ยังไต่ไปไม่ถึง และถ้ามนุษยชาติต้องการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จริง ๆ แล้ว วิทยาศาสตร์ไม่ควรที่จะปิดหูปิดตาตัวเอง

วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(10)
ความรู้ความเข้าใจเหล่านี้ อาจทำให้บางคนมองเห็นว่าวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเป็นเพียงกิ่งก้านแขนงหนึ่งของธรรมชาติทั้งหมดในจักรวาลเท่านั้น ยังมีกิ่งก้านสาขาแขนงอื่น ๆ อีกมากมายที่วิทยาศาสตร์ยังไต่ไปไม่ถึง และถ้ามนุษย์ชาติต้องการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จริง ๆ แล้ว วิทยาศาสตร์ไม่ควรที่จะปิดหูปิดตาตัวเอง วิทยาศาสตร์ไม่ควรเกาะแน่นอยู่แค่บนกิ่งกิ่งเดียวโดยไม่ยอมกระโดดไปกิ่งอื่น ๆ เสียเลย การปฏิเสธไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น การปฏิเสธไม่ได้พิสูจน์ว่าธรรมชาติกิ่งอื่น ๆ ไม่มี การที่หลักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันไม่สามารถนำไปใช้กับธรรมชาติของกิ่งแขนงอื่น ๆ ได้นั้น ก็เพราะหลักการนั้น เป็นหลักการคนละระดับกัน มันเป็นเพียงหลักการที่ถูกต้องสำหรับมิติแห่งพลังงานทุตยภูมิ มิติแห่งพลังงานพื้นฐานของมวลสารในโลกของวัตถุธาตุทางกายภาพเท่านั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงให้ผู้ที่มีดวงตาแหลมคม เห็นว่าเอกภพนี้ยังมีพลังงานในรูปแบบอื่น ๆ อีก ดร.ริช ก็ได้ค้นพบธรรมชาติของพลังงานลึกลับอีกรูปแบบหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์รัสเซีย เช่น ดร.โพโลวา (Dr.Lutsai Pavlova) ดร.กินาดี เซอรจิเยฟ (Dr.genady Sergeyev) และกลุ่มนักค้นคว้าที่ศูนย์ "โพพอฟ" PoPoV - ชื่อเต็มว่า The Bio - Information Section of the A.S. PoPov All Union Scientific and Technical Society of Radio Technology and Electrical Communications ) เหล่านี้ ก็ยืนยันว่าพลังงานอีกอย่างหนึ่งที่นอกเหนือไปจากพลังงานทางฟิสิกส์ทั้งหลายนั้นมีจริง แต่มันยังเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ และหลักการทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าใจได้ วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่มีคำตอบ หรือทฤษฎีใด ๆ ที่จะนำอธิบายได้เลย
จากเรื่องราวเหล่านี้ นำไปสู่การสันนิษฐานได้ว่า ถ้าการติดต่อของทอม มนุษย์ต่างดาวเป็นเรื่องจริง มันก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ว่าพวกต่างดาวเหล่านั้นมีจริง และถ้าทอมไม่ได้พูดโกหกเสียเอง เรื่องราวและเหตุผลที่เขากล่าวอ้างมานั้นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทั้งสิ้น หากใครไม่มีความรู้พื้นฐานในเรื่องพลังงานปฐมภูมิมาก่อนเลย ผู้นั้นก็จะไม่มีวันเข้าใจในสิ่งทอมกล่าวถึงเลยแม้แต่น้อย และสิ่งเดียวที่ผู้นั้นจะทำได้เมื่อได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้นก็คือ การปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ถ้าหากว่าผู้นั้นมีความรู้พื้นฐานในเรื่องพลังงานปฐมภูมิ ความรู้ในแขนงอื่น ๆ ที่ไม่มีในตำราวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน เขาก็จะเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทอมพูดถึงว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เช่นยานบินไร้มวลสาร และเรื่องสิ่งมีชีวิตที่ไร้รูปกาย เรื่องการกระจายของหน่วยชีวิตภาค เรื่องความหนาแน่นที่เกิดขึ้นกับมวลชีวิตบนโลก เรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับความสมดุลย์ของมวลภาวะชีวิตในเอกภพ เหล่านี้เป็นต้น


วิทยาศาสตร์ล้ำยุค...(11) ตอนจบ



......... "วิทยาศาสตร์ล้ำยุค (11) ตอนจบ ".......

......ท่านนักจานบินวิทยาสมัครเล่นทั้งหลาย เมื่อได้อ่านเรื่องราวการวิเคราะห์ในแนวต่าง ๆ จนมาถึงตอนจบของบทนี้แล้ว อาจสงสัยว่า เราจะสรุปได้อย่างไรว่ามนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกเราทำไม เหตุใดพวกเขาจึงไม่ติดต่อกับเราให้เป็นกิจจะลักษณะ คำถามนี้ดูเหมือนเกือบจะไม่มีคำตอบ แต่ถ้าพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว จะพบว่ามันมีคำตอบที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นคำตอบที่ถูกที่สุดเสียด้วย

...... มนุษย์ต่างดาว เห็นว่ามนุษย์เรายังด้อยพัฒนาเกินไป หรือยังป่าเถื่อนล้าหลังอยู่มากเกินกว่าที่จะเปิดการติดต่อด้วยได้ พวกเขาอาจจะเห็นว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ดุร้ายทารุณโหดเหี้ยมมากเกินกว่าที่ติดต่อด้วย อย่างนั้นหรือ ? นี่อาจเป็นคำตอบส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่คำตอบที่ถูกทั้งหมด เพราะถ้ามนุษย์ต่างดาวมองเห็นว่ามนุษย์โลกเป็นเช่นนั้น ทำไมพวกเขาจึงเสียเวลาหลายสิบปี เฝ้าวนเวียนสำรวจโลกของเราอยู่ตลอดมา ถ้าโลกนี้เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณเกินกว่าที่จะแตะต้องได้ พวกเขาคงละทิ้งไปหาโลกอื่น ๆ เพื่อแสวงหามิตรใหม่ที่ไร้ความบ้าคลั่งเสียนานแล้ว แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น.... ทำไม ?

....... มนุษย์ต่างดาวอาจต้องการจะเข้ายึดครองโลก .... นี่ก็ไม่ใช่คำตอบ เพราะถ้าพวกเขาต้องการจะเข้ายึดครองโลก เขาก็สามารถที่จะทำได้โดยไม่ต้องเสียเวลากว่า 30 - 40 ปี เฝ้าวนเวียนสำรวจตรวจสอบมนุษย์โลกอยู่อย่างนี้ ด้วยเทคโนโลยี่ และยานบินยูเอฟโออันทรงประสิทธิภาพเหนือกว่าเทคโนโลยีใด ๆ ของมนุษย์โลกจะไปเทียบติด พวกมนุษย์ต่างดาวก็สามารถใช้กำลังเข้าบุกยึดโลกได้ภายในเวลาไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ โดยที่พวกเขาอาจไม่สูญเสียอะไรเลยก็ได้....แต่ทำไมเขาไม่ทำ ? แน่นอน พวกมนุษย์ต่างดาวกำลังรออะไรสักอย่าง...... เขากำลังรอเวลาที่จะติดต่อกับมนุษย์โลก....ทำไมต้องรอ ?
........ คำตอบ...... เพราะการติดต่อไม่ใช่การติดต่อด้วยการเซ็นสัญญาทางการฑูต ไม่ใช่การติดต่อพูดกันด้วยภาษากลางที่ตึกสหประชาชาติ ไม่ใช่การแสดงตัวด้วยความองอาจ ด้วยอำนาจของผู้ที่มีเทคโนโลยี่สูงกว่า และก็ไม่ใช่ด้วยการติดต่อสื่อสารในลักษณะใด ๆ ที่มนุษย์บนโลกเรานี้เคยกระทำ เคยใช้เป็นสื่อแลกเปลี่ยนความนึกคิดกันมาก่อน.... แต่มันจะเป็นการติดต่อระดับเอกภพ มันจะเป็นการติดต่อแบบสมบูรณ์แบบ และมันจะเป็นการติดต่อที่มีการเชื่อมสัมพันธไมตรี แลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิด โดยไม่มีความลับต่อกัน มันจะเป็นการร่วมสัมพันธ์ที่เหนือไปยิ่งกว่าการรู้จักกันด้วยการฑูต เหนือไปกว่าความรู้สึกต่อกันฉันท์พี่น้องร่วมเอกภพ.... มันจะเป็นการติดต่อที่สมบูรณ์แบบที่สุด แน่นแฟ้นดุจวงศ์วานแห่งชีวิตอันเดียวกัน มันจะเป็นอย่างไร มีรูปแบบอย่างไร โปรดหาคำตอบได้ในบทต่อไป.....................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น