วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บทที่ 15...วงศ์วานแห่งเอกภพ หนังสือจานบินวิเคราะห์

วงศ์วานแห่งเอกภพ

 




จากหนังสือ จานบินวิเคราะห์  บทที่ 15 วงศ์วานแห่งเอกภพ



วงศ์วานแห่งเอกภพ...(1)

โลกของเรานี้เป็นเพียงจุดของฝุ่นผงธุลี ละอองเล็ก ๆ ที่ไม่มีความหมายอะไรเลย เมื่อเปรียบเทียบกับความใหญ่โตมโหฬารของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลจนหาขอบเขตบ่มิได้ มนุษย์เราก็เป็นแค่ผู้เยาว์วัยเหมือนทารกเพิ่งลืมตาขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน เมื่อเทียบกับเวลาของเอกภพที่ได้เริ่มมีกำเนิดเกิดมา....ก็แล้วทำไม....โลกเราจึงเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงเดียว หนึ่งในล้านล้านล้านดวงที่มีชีวิตชั้นสูงปรากฏอยู่
......มันออกจะเป็นการโง่เขลาสักหน่อย ถ้าจะเสี่ยงตอบปัญหาดังกล่าวว่าเป็นความจริง หนึ่งในล้านล้านล้านเป็นการเสี่ยงโชคของคนที่ไร้ปัญญา นักวิทยาศาสตร์ได้ร่วมกันคิดหาคำตอบ ที่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นคำตอบที่ใกล้เคียงความจริง ไม่ใช่วิธีเสี่ยงคำตอบแบบโยนหัวโยนก้อย คำตอบที่พอจะเป็นไปได้ต้องอาศัยเครื่องมืออย่างเดียวที่มนุษย์จะหาได้คือ คณิตศาสตร์ เพื่อคำนวณหาคำตอบ จะมีจำนวนของสิ่งมีชีวิตระดับสูงอยู่อีกเท่าไรในเอกภพนี้ ?
Ns.fp.Ne.fc.Ni.Lc.fb
N = --------------------------------
Lp
( แทนค่าสูตรคณิตศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ จะขอผ่านไปเพราะมีข้อมูลแทนค่าสูตรยาวมาก)

..... เมื่อแทนค่าแล้วก็ได้คำตอบว่า
N = 1,000,000
นั่นคือ ยังมีโลกอื่นที่มีระบบอารยธรรมระดับสูงอยู่อีกเป็นจำนวนล้านดวง โดยการคำนวณค่าต่ำสุดทางคณิตศาสตร์

กาแลกซี่ของเราอาจเปรียบได้กับตึกสูง 102 ชั้น แต่ละชั้น หมายถึงช่วงเวลา 150 ล้านปี กาแลกซี่ของเราก็มีอายุประมาณความสูงเท่ากับตึกเอมไพร์สเตท ความเจริญของอารยธรรมมนุษย์โลกก็จัดอยู่ในลำดับชั้นที่ 10 ของตึกเท่านั้น และพวกที่อยู่บนยอดตึกชั้นที่ 102 เล่า ..... มนุษย์ไม่อาจนำอะไรไปเปรียบเทียบได้เลยแม้แต่ความคิดในฝัน กฎทางคณิตศาสตร์ได้ชี้บอกให้มนุษย์ทราบว่า ยังมีผู้ที่อยู่สูงกว่าเราอีกมาก และการที่มนุษย์จะมองหาผู้ที่มีอารยธรรมสูงเหล่านั้น มนุษย์จะต้องคิดให้รอบคอบ มองให้ลึกซึ้ง ลึกเข้าไปในอาณาจักรอันไร้ขอบเขต ข้ามระยะทางและกาลเวลาเข้าไปในอดีตและอนาคตของตนเอง

บันทึกโบราณคดี ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติหลายแหล่งแสดงให้เห็นสิ่งแปลก ๆ หลายอย่าง ซึ่งหาคำอธิบายให้แจ่มแจ้งไม่ได้ หลักฐานของสิ่งประหลาดจากอารยธรรมดึกดำบรรพ์ได้ถูกค้นพบ หลักฐานแปลก ๆ เหล่านี้ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ในอดีตอาจมีผู้มาเยือนจากต่างดาวแล้วก็ได้ เขาได้สอนสิ่งต่าง ๆ ให้ชาวโลก มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่บรรพบุรุษของเราสามารถคิดสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาได้เอง เช่นหลักการทางเลขคณิตที่นับจำนวนได้ถึงอนันต์ แบตเตอรี่โบราณ หรือแผนที่โลกโบราณที่มีความละเอียดถูกต้องราวกับแผนที่ถ่ายจากดาวเทียม เป็นต้น

สำหรับอนาคตของมนุษย์ชาติจะเป็นอย่างไรนั้น เป็นเรื่องยากที่จะทำนาย มนุษย์จะมีโอกาสขึ้นไปสู่ชั้นที่ 21 - 22 - 23 .....ของตึกแห่งวิวัฒนาการหรือไม่ และจะเป็นอย่างไร จำเป็นต้องใช้จินตนาการพร้อมด้วยหลักตรรกวิทยาเข้าช่วย ในอันที่จะหยั่งดูความลึกของอนาคตกาล แต่ก็ต้องอาศัยข้อมูลจากอดีตและปัจจุบันเข้าเสริม เพื่อการก้าวไปสู่จินตนาการในอนาคตที่มั่นคง.



วงศ์วานแห่งเอกภพ...(2)
ขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของดาวเคราะห์ที่สามารถให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตได้ แบ่งได้เป็นลำดับเบื้องต้นกล่าวได้ดังนี้คือ
1. การรวมตัวก่อกำเนิดขึ้นมาเป็นดาวเคราะห์ จากฝุ่นธุลีในอวกาศกลายมาเป็นดาวเคราะห์ ใช้เวลาเป็นล้านล้านปี ค่อยเย็นตัวลงและวิวัฒนาการไปสู่ดาวเคราะห์ที่มีบรรยากาศ มีน้ำ มีทะเล มีภูเขา ที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุ และอุณหภูมิที่พอเหมาะ นับเป็นขั้นตอนที่หนึ่ง คล้ายกับการลงรากฝังเข็มหล่อฐานของตึก
2. การรวมตัวของกรดอะมิโน (amino acid) ก่อกำเนิดเป็นโครงสร้างของสารอินทรีย์ และชีวิตหน่วยแรกก็อุบัติขึ้นมา มันอาจเป็นสัตว์ชั้นต่ำที่สุด มีเซลเดียว หรือเป็นเพียงกลุ่มเคมีที่เป็นสารอินทรีย์
มีอยู่ทั่วไปในทะเลของพิภพนั้นนับเป็นชั้นแรก ๆ ของตัวตึก

3. การรวมตัวก่อกำเนิดขึ้นของ ซุปเปอร์โมเลกุล" ซึ่งสามารถถอดแบบของตัวเองโดยการแบ่งตัวได้เรียกว่าโครงสร้าง DNA และ RNA
4. การก่อกำเนิดของสัตว์เซลเดียวที่สมบูรณ์แบบ มันสามารถแพร่พันธุ์โดยการแบ่งตัวขยายพันธุ์ไปได้
5. การก่อกำเนิดสัตว์เซลรวม หรือ สัตว์หลายเซล การวิวัฒนาขั้นที่ห้าจะไปถึงยอดสูงสุดของมันที่สัตว์ชั้นสูง สิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาจะอุบัติขึ้นตามมาในที่สุด สิ่งมีชีวิตที่รู้จักใช้เครื่องมือ (tool using) ก็เริ่มปรากฏ และนี่คือระดับของมนุษย์บนพิภพโลกในปัจจุบัน
โดยเนื้อหาอันแท้จริง สิ่งที่เกิดขึ้นค่อย ๆ เปลี่ยนแปรปรากฏนั้นคือการต่อสู้แข่งขันกันของขบวนการแห่งระบบควบคุม......สิ่งมีชีวิตมีระบบกลไกอยู่สองอย่างสำหรับควบคุมพฤติกรรมของมันเอง ระบบอย่างแรกคือ ยีนเนติกที่ได้รับการโปรแกรมแล้ว (genetically programmed) และระบบอย่างที่สองคือ ยีนเนติกที่ยังไม่มีโปรแกรม (genetically unprogrammed) ดังนั้นจะเห็นว่าระบบอย่างแรก เป็นการควบคุมการวิวัฒนาการที่ไม่สามารถดัดแปลงตนเองอีกต่อไปได้ ส่วนอีกระบบหนึ่งเป็นระบบควบคุมการวิวัฒนาการที่สามารถดัดแปลงตนเองได้โดยการเรียนรู้ ระบบควบคุมการวิวัฒนาการแบบไม่มีโปรแกรม เป็นกลไกอย่างหนึ่งในธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับการเรียนรู้และหาประสบการณ์เพื่อการดัดแปลงตนเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับสูง มีความเฉลียวฉลาด เช่น รู้จักใช้เครื่องมือ เพื่อช่วยในการผ่อนแรง ก็คือ สิ่งมีชีวิตที่มีจำนวนยีนที่สามารถเรียนรู้ได้มากกว่าจำนวนยีนที่ถูกโปรแกรมเอาไว้แล้วซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ได้


วงศ์วานแห่งเอกภพ...(3)
ในบรรดาสิ่งมีชีวิตแต่ละตัวแต่ละคน แต่ละรูปแบบ จะต้องมีระบบกลไกควบคุมการวิวัฒนาการทั้งสองแบบผสมอยู่ด้วยกัน ถ้าสมมุติว่าสิ่งมีชีวิตตัวนั้น มีแต่ระบบกลไกของยีนที่ถูกโปรแกรมไว้แล้วทั้งหมด มันก็ไม่สามารถจะมีการดัดแปลงตนเองให้มีการวิวัฒนาการเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อมได้ ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเช่น ลมฟ้าอากาศ เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปรอยู่เสมอไม่มีอะไรแน่นอน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นไปตามบุญตามกรรม ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติเกิดขึ้นมาก สิ่งมีชีวิตที่มีระบบกลไกควบคุมของยีนที่ถูกโปรแกรมไว้หมดแล้ว ก็จะหมดโอกาสที่จะอยู่รอดต่อไปได้ ในทางกลับกันนี้ สิ่งมีชีวิตที่มีแต่ยีนเนติกที่ยังไม่ได้โปรแกรมอยู่ทั้งหมด ก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้เช่นกัน พฤติกรรมที่ดัดแปลงได้ จะต้องผ่านขั้นตอนการเรียนรู้โดยการลองผิดลองถูก (trial and error) ซึ่งเสี่ยงต่ออันตราย ข้อผิดพลาดต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่วิถีทางที่ดีและเหมาะสมที่สุด
ระบบกลไกแห่งพฤติกรรมที่ดัดแปลงได้นี้ นำไปสู่การวิวัฒนาการแตกแยกไปเป็นกิ่งก้านสาขาของสิ่งมีชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ อีกมากมาย มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดไปจากรูปเดิมโดยชิ้นเชิง และที่ยังคล้ายกับรูปเดิมก็มี พฤติกรรมเหล่านี้เป็น การคัดเลือกของธรรมชาติ (natural selection) ที่สร้างเผ่าพันธุ์ของสัตว์หลายแสนหลายล้านพันธุ์ให้เกิดขึ้น แต่ละพันธุ์ก็มีอัตราส่วนของยีนเนติกทั้งสองแบบแตกต่างกันไป เผ่าพันธุ์ที่มีความฉลาดมากแท้ที่จริงก็คือสิ่งมีชีวิตที่มีระบบกลไกควบคุมแบบยีนที่ยังไม่มีโปรแกรมมากกว่ายีนถูกโปรแกรมไว้แล้ว ตัวอย่างเช่น มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ของสัตว์บกเลี้ยงลูกด้วยนมที่มีระบบกลไกควบคุมการวิวัฒนาการเป็นยีนแบบที่ถูกโปรแกรมแล้วน้อยมาก


วงศ์วานแห่งเอกภพ...(4)
......... สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามีความฉลาดชั้นสูงไม่จำเป็นจะต้องมีความเจริญเป็นรูปแบบสังคมขึ้นมา เพราะบางชนิดไม่มีอวัยวะสำหรับการใช้งานแบบสารพัดอย่างได้ เช่นปลาโลมา ปลาวาฬเพชฌฆาต (Killer Whale) นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเฉลียวฉลาดมาก การค้นคว้าปัจจุบันเชื่อว่าปลาโลมา มีความฉลาดเกือบเท่าคน แต่ความฉลาดนี้เป็นไปคนละรูปแบบกับมนุษย์ ดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่มีความเฉลียวฉลาดแต่ไม่มีอวัยวะสำหรับการใช้งานจึงไม่สามารถใช้เครื่องมือผ่อนแรง หรือประดิษฐ์สร้างเครื่องมือผ่อนแรงขึ้นใช้ได้ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จึงไม่มีเทคโนโลยี......
..... สิ่งมีชีวิตที่มีความเฉลียวฉลาด และมีอวัยวะสำหรับใช้งานได้สารพัดอย่าง เช่น มือมนุษย์ เป็นอวัยวะที่สำคัญสามารถใช้งานได้สารพัดอย่าง นับแต่หยิบท่อนไม้ขนาดใหญ่ ไปจนถึงงานละเอียดอย่างเช่นการสนเข็มก็จะรู้จักใช้เครื่องมือ และประดิษฐ์เครื่องมือ นำไปสู่การมีเทคโนโลยี เมื่อเทคโนโลยีเจริญสูงขึ้น นาน ๆ เข้าความสามารถในการใช้เครื่องมือจนชำนาญก็ถ่ายทอดลงไปในยีนจนกลายเป็นลักษณะสันดานแห่งความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์นั้น ตัวอย่างของเผ่าพันธุ์ที่ว่านี้ได้แก่ มนุษย์บนพื้นพิภพโลก... เด็กรุ่นใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคศตวรรษที่ 20 นี้จะเริ่มรู้จักการใช้เครื่องมือเพื่อช่วยตัวเองโดยเกิดขึ้นเพราะการเลียนแบบจากผู้ใหญ่
...... การพัฒนาทางเครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัย เผ่าพันธุ์ที่มีเทคโนโลยีจะค่อย ๆ หลุดพ้นไปนอกขอบเขตบังคับของสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน เผ่าพันธุ์ที่มีเทคโนโลยีสูงจะมีอำนาจเหนือเผ่าพันธุ์อื่น ๆ และการสร้างเครื่องมือมือที่ทรงอำนาจก็จะเพิ่มพลังให้แก่เผ่าพันธุ์นั้นมากขึ้น ในที่สุดเผ่าพันธุ์ที่มีเทคโนโลยี่ก็จะครอบครองอำนาจเหนือสิ่งมีชีวิตอื่นใดในอาณาจักรแห่งการวิวัฒนาการร่วมกัน (biosphere) และเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชัยชนะเหนือศัตรูของมัน อันยังผลให้มีจำนวนของสมาชิกในเผ่าพันธุ์เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่มีขอบเขต แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า เพราะการพัฒนาทางเทคโนโลยี่ จะเป็นการเร่งให้พุ่งไปสู่การทำลายตัวเองของเผ่าพันธุ์ในที่สุด
..... เมื่อสัตว์ที่มียีนซึ่งถูกโปรแกรมแล้ว ต่อสู้เพื่อความเป็นเจ้าของถิ่น เพื่อตัวเมีย เพื่อแย่งอาหาร จะสังเกตเห็นได้ว่า " การต่อสู้ " ของมันเป็นไปอย่างมีรูปแบบค่อนข้างตายตัว ศัตรู หรือผู้พ่ายแพ้มักจะไม่ถูกสังหาร หรือไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งนี้เพราะผู้ชนะได้ถูกโปรแกรมไว้แล้วในพฤติกรรมการต่อสู้ให้หยุดต่อสู้เมื่อฝ่ายตรงข้ามถอยหรือยอมแพ้..... พฤติกรรมเช่นนี้จะพบเห็นในสัตว์ป่าส่วนใหญ่ มันไม่ใช่ความเมตตากรุณาในจิตใจของสัตว์เหล่านั้น แต่มันเป็นพฤติกรรมที่ถูกโปรแกรมตายตัวเอาไว้แล้วในยีนเรียกว่า " สัญชาตญาณ " หรือความรู้ที่ถูกควบคุมมีมาแต่กำเนิด ถ่ายทอดกันมาจากต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์ของมัน.


วงศ์วานแห่งเอกภพ...(5)
........ พฤติกรรมการต่อสู้ในสัตว์ที่มียีนซึ่งไม่มีโปรแกรมอยู่มากจะไม่เหมือนกัน เช่น ในมนุษย์ ลิงบางชนิด ปลาโลมา การต่อสู้มักจะไม่เป็นแบบแผนที่มีกำหนดตายตัว การต่อสู้จะไม่ยุติจนกว่าฝ่ายตรงข้ามจะถูกฆ่าจนสิ้นซาก ในเผ่าพันธุ์ที่มีความฉลาดบางครั้งผู้ชนะจะยินยอมปลดปล่อยฝ่ายตรงข้ามให้รอดชีวิตไปเพราะความสงสาร หรือความกรุณา แต่ไม่ใช่ด้วยสัญชาตญาณ ด้วยเหตุที่ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความฉลาด และสามารถปรับตัวเองได้ง่าย สัตว์ชนิดนี้จึงสามารถสร้างเหตุผลในความนึกคิดของมันเพื่อการฆ่าด้วยเหตุต่าง ๆ กันได้ บางครั้งเราจะพบว่าด้วยเหตุผลอันสลับซับซ้อน มันจะจับศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามมากักขังทรมานแทนการฆ่าให้ตายไป เช่นสัตว์จำพวก " มนุษย์ " เป็นสัตว์โลกชนิดเดียวที่มีพฤติกรรมเช่นว่านั้น มนุษย์จับศัตรู หรือเหยื่อมากักขังทรมานแทนการฆ่า เพราะว่ามนุษย์ไม่มีสัญชาตญาณที่ถูกโปรแกรมไว้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อศัตรู หรือเหยื่อของมัน จึงต้องอาศัยการเรียนรู้โดยการทดลองวิธีการใหม่ ๆ ในการ " ฆ่า " อยู่เสมอ มนุษย์เป็นสัตว์โลกเผ่าพันธุ์เดียวที่มีเทคโนโลยี และเป็นเผ่าพันธุ์ที่อันตรายที่สุดในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย ด้วยความฉลาด และความสามารถของอวัยวะที่ใช้งานได้สารพัดอย่าง และด้วยเทคโนโลยี เผ่าพันธุ์นี้จึงมีการแข่งขันกันในตัวเอง และเป็นเผ่าพันธุ์ที่ดุร้ายที่สุด แต่ด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีของมนุษย์ มี การป้อนกลับ (feed back) และด้วยเหตุที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความสามารถในการเรียนรู้ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว มนุษย์จึงวิวัฒนาการไปสู่ความเป็นเผ่าพันธุ์ที่เป็นปรปักษ์ ต่อสู้ขัดแย้งกันในเผ่าพันธุ์ของตัวเอง
......... ถ้าจะมองกันในแง่ของเครื่องจักรกลอันสลับซับซ้อน เผ่าพันธุ์มนุษย์เปรียบเสมือนระบบกลไกที่มีกำลังช่วยผ่อนแรง หรือเป็นเครื่องจักรจำพวก " เซอโวเมคคานิสติค " (Servomechanistic) เผ่าพันธุ์ที่มีเทคโนโลยีมักจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่มั่นคง และถ้ามีเทคโนโลยี่สูงมาก ๆ เผ่าพันธุ์นั้นก็จะมีความเป็นปรปักษ์ต่อสู้ขัดแย้งในตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะการป้อนกลับของเทคโนโลยีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ถ้าการขัดแย้งเป็นปรปักษ์ต่อสู้กับตนเอง (conflict) มีมาก เผ่าพันธุ์นั้นก็จะพบจุดจบ คือ การทำลายตัวเอง (biospheric explosion) ด้วยเทคโนโลยีของตัวเอง แต่ถ้าการขัดแย้งเป็นปรปักษ์กับตนเอง และการป้อนกลับทางเทคโนโลยีสามารถที่จะระบายออกทิ้งไปได้ เพื่อลดการขัดแย้งในตัวเองก็จะทำให้เผ่าพันธุ์ที่มีเทคโนโลยีนั้นรอดพ้นจากความหายนะทำลายตนเองไปได้
...... แต่การลดความสามารถในการปรับตัว หรือลดจำนวนยีนที่ยังไม่มีการโปรแกรมเพื่อการควบคุมพฤติกรรมนั้น เท่ากับเป็นการลดความเฉลียวฉลาดลงไปด้วย เป็นการก้าวถอยหลังบนเส้นทางแห่งวิวัฒนาการ ในทางหลักของยีนเนติกส์แล้ว การก้าวถอยหลังจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ดังนั้น เผ่าพันธุ์ที่มีเทคโนโลยีที่เจริญสูงมาก ๆ ก็หมายถึงเผ่าพันธุ์ที่ได้ก้าวข้ามมาตามเส้นทางแห่งวิวัฒนาการบนถนนวันเวย์ ไม่มีโอกาสจะหันหลังกลับได้อีกแล้ว เผ่าพันธุ์นี้จะต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ไปสู่ความหายนะแห่งอาณาจักรชีวิภาคของตัวเอง สำหรับมนุษย์ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งที่เดินมาตามถนนแห่งการวิวัฒนาการนี้เช่นกัน ก็อาจจะกำลังก้าวเข้าสู่ความพินาศในช่วงระยะเวลาอีกประมาณ 50 ปีข้างหน้านี้
....... เส้นทางการวิวัฒนาการของมนุษย์กำลังสิ้นสุดลงแล้ว และคงจะถึงสุดถนนในช่วงอายุของผู้อ่านนี้เอง นี่คือความสิ้นสุดของขั้นตอนที่ 5 ของการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตโดยกฎของธรรมชาติ (The Natural Selection ). 

วงศ์วานแห่งเอกภพ...(6)
ขั้นที่ 6 ของการวิวัฒนาการ อาจจะมีหรือไม่มีขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์ที่มีเทคโนโลยี่จะทำให้เกิดขึ้นหรือไม่เท่านั้น ถ้ามันถูกทำให้เกิดขึ้นการวิวัฒนาการขั้นที่ 6 ก็จะเป็นการวิวัฒนาการที่ปรกติธรรมดาอย่างยิ่ง มันจะต้องเป็นการเปลี่ยนทิศทางไปสู่ถนนสายใหม่ เป็นถนนที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยความฉลาดของเผ่าพันธุ์นั้นเอง มันจะเกี่ยวข้องกับระบบควบคุมภายในของเผ่าพันธุ์การควบคุมจะเกิดขึ้นโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับยีนที่ไม่มีโปรแกรม และจะต้องไม่ใช่การโปรแกรมยีนใหม่อีกด้วย การควบคุมตนเองอย่างแน่นหนาและเด็ดขาด จะต้องทำให้เกิดขึ้น เพื่อลดความขัดแย้งในตัวเองของสังคมซึ่งนำไปสู่การทำลายล้างเผ่าพันธุ์ และในขณะเดียวกันก็จะต้องไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับการควบคุมยีนเลย เพราะถ้ายีนถูกโปรแกรมความฉลาดจะลดลง.....การควบคุมตนเองด้วยตนเองนี้คือปัญหาใหญ่ยิ่งของโลกมนุษย์ สังคมมนุษย์ทั้งโลกพยายามอย่างยิ่งที่จะหาวิธีการ ขบวนการ ระเบียบการ เพื่อนำมาทดลองใช้ให้ได้ผล ระบบการเมือง ระบบการปกครอง ระบบการบริหาร ระบบประเพณีทางสังคม ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ระบบประชาธิปไตย ระบบคอมมิวนิสต์ ระบบเผด็จการ ระบบศาสนา ฯลฯ เหล่านี้คือขบวนการที่จะนำมาใช้ควบคุม แต่ก็ยังไม่มีวิธีการใดที่ใช้ได้ผลเลย แม้แต่อย่างเดียว การทดลองยังคงดำเนินต่อไป....ถ้ามนุษย์ค้นพบวิธีการควบคุมนั้นได้ ก่อนที่ความขัดแย้งในตัวเองของสังคม จะถึงจุดระเบิด เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะรอดจากความหายนะที่ทำลายตัวเองตามกฎของธรรมชาติ
ความจริงทางออกของปัญหานี้มีอยู่ทางเดียว เป็นคำตอบที่ง่าย แต่เป็นการปฏิบัติที่ยากและต้องอาศัยเทคโนโลยีที่สูงมากเท่านั้นจึงจะทำได้...." ถ้ามนุษย์ทุกคนเป็นประชาชนที่สมบูรณ์แบบ มีหลักประพฤติอย่างเดียวกัน มีพฤติกรรมอย่างเดียวกัน มีความรักซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน ปัญหาทั้งหมดก็สิ้นสุดลง"....... นี่คือคำตอบที่มนุษย์ปัจจุบันคิดกันและพยายามจะสั่งสอนให้กระทำกัน เป็นการปลูกฝัง แต่มันไม่ใช่การควบคุมที่ตายตัว คนโง่เท่านั้นที่จะยอมเชื่อว่าการสั่งสอนปลูกฝังเช่นนั้นเป็นทางออกที่สมบูรณ์แบบ เพราะยังมีคำถามอีกข้อหนึ่งตามมา...
เราจะรู้ได้อย่างไรกันว่าเขาเป็นคนที่มีแต่ความรัก ความเอื้อเฟื้อ เมตตากรุณา เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าเขาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ถึงซึ่งความเป็นมนุษย์"......ปัญหาเหล่านี้ยังคงมีอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ เพราะความขัดแย้งในตัวเองยังไม่ได้ถูกขจัดให้หมดไป.....

กฎหมาย หลักตรรกศาสตร์ หลักปรัชญาเมธี หลักศาสนา หลักการเชื่อถือในลัทธิต่างๆ ความรัก การข่มขู่ เงินทอง ลาภยศ สรรเสริญ ลูกปืนและการลงคะแนนออกเสียง ฯลฯ......เหล่านี้ไม่เคยใช้ได้ผลในการควบคุมให้มนุษย์เป็น " มนุษย์ที่สมบูรณ์ " ได้เลย มนุษย์ได้ทดลองใช้สิ่งเหล่านี้ และวิธีการต่างๆมากมาย แต่ก็ยังไม่พบคำตอบอันแท้จริง......ทางออกจริงๆนั้นคืออะไร ? มีหรือไม่ ถ้ามี
มนุษย์จะหาพบได้ทันการหรือไม่ ? เป็นสิ่งที่มนุษยชาติกำลังเผชิญหน้าอยู่อย่างไม่รู้ตัว... คำตอบนั้นมีอยู่ !

ทางออกที่เป็นไปได้ทางเดียวคือ การเชื่อมสมองของมนุษย์ทุกคนเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้เป็น " มหาสมอง " (Super brain) มันเป็นการรวมมนุษย์ทั้งหมดให้กลายเป็น  “สิ่งมีชีวิตอันเดียวกัน” 


วงศ์วานแห่งเอกภพ...(7)
........... สิ่งต่าง ๆ ที่สะสมไว้ในจิตใต้สำนึกจะต้องถูกรื้อถอนออกมาร่วมให้กลายเป็นหน่วยเดียวกัน และกลายเป็นจิตสำนึกเดียวกัน แต่ทว่ามนุษย์ แต่ละคนก็ยังคงเป็นอิสระ เป็นบุคคล เป็นตนเองอยู่อย่างเดิมด้วยการเชื่อมโยงเฉพาะสมองระบบความคิด และประสาทความรู้สึกนึกคิดบางส่วนเท่านั้นที่จำเป็น การเชื่อมต่อสมองต้องทำด้วยเทคโนโลยีโดยการฝังระบบสื่อสารที่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยตลอด ทั่วถึงกันทุกตัวคน และโดยที่ไม่ให้มีผลกระทบกระเทือนข้างเคียงใด ๆ เกิดขึ้น.... ปรากฏการณ์มหัศจรรย์จะเกิดขึ้นถ้าการเชื่อมต่อความนึกคิด และการทำงานของสมองมนุษย์สามารถทำได้สำเร็จ ความรู้สึกนึกคิดจะกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยไม่มีเวลาที่แตกต่างกันระหว่างบุคคลสองคน ความมีชีวิต ความรู้สึกในความเป็นตัวเป็นตน (อัตตา หรือ Ego) และบุคลิกภาพหรือบุคลิกลักษณะส่วนจำเพาะตน ที่แต่เดิมมีอยู่มากมายแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล จะรวมหล่อหลอมเข้าด้วยกันและกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเผ่าพันธุ์ถูกหลอมให้กลายเป็นตัวตนอันหนึ่งอันเดียวกัน ความขัดแย้งในสังคมก็หมดไป
.............. ตัวอย่างเช่น สมมุติว่า " คุณ " กับ " ผม " สามารถเชื่อมสมองความรู้สึกนึกคิดเข้าเป็นอันเดียวกันได้ " เรา" ก็จะไม่พบปัญหาข้อขัดแย้งซึ่งกันและกันเลย เพราะ " เรา" คือสิ่งเดียวกัน นั่นคือ..... ไม่มีเรา .... ไม่มีคุณ.... มีแต่ " ผม" คนเดียวที่เหลืออยู่ " ผม " ไม่สามารถฆ่า หรือคิดทำลายตัวผมเองได้ ความขัดแย้งจึงไม่มี.... ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่กล่าวมานี้มีจริง และพิสูจน์ได้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องดูอื่นไกล มันอยู่ที่หัวกะโหลกของมนุษย์ทุกคน....... สมองของคนแบ่งออกเป็นสองส่วน สมองซีกซ้ายกับสมองซีกขวา ทั้งสองซีกทำงานแยกจากกันอย่างเป็นอิสระโดยสิ้นเชิง ยกเว้นก้อนเซลประสาทก้อนใหญ่ที่เป็นตัวเชื่อมโยงมันสมองสองข้างเข้าด้วยกัน ก้อนเซลประสาทนี้มีชื่อเรียกว่า " corpus callosum " มันสมองซีกซ้ายควบคุมออกคำสั่งร่างกายซีกขวา ส่วนมันสมองซีกขวาควบคุมออกคำสั่งร่างกายซีกซ้ายทั้งหมด สมองสองก้อนทำงานร่วมกันได้อย่างกลมกลืน.... ไม่เคยปรากฏว่าร่างกายซีกซ้ายทะเลาะกับร่างกายซีกขวา หรือว่าร่างกายซีกขวาพยายามแก้แค้นร่างกายซีกซ้าย เมื่อซีกซ้ายทำผิด....... ในความเป็นจริง จะมีสมองเพียงซีกเดียวที่ครองความเป็นใหญ่ และทำงานหนักมากที่สุด โดยทั่วไปสมองซีกซ้ายจะเป็นใหญ่ เมื่อมีสมองซีกใดออกคำสั่งก็จะมีสัญญาณบอกให้สมองอีกซีกรับทราบ ไม่ให้เกิดการขัดแย้งกันขึ้น ความเร็วของสัญญาณเป็นตัวเชื่อมต่อให้สมองสองข้างทำงานประสานกันเหมือนหนึ่งว่ามีสมองเพียงอันเดียว เปรียบได้กับการฉายภาพยนตร์ ภาพแต่ละภาพวิ่งมาหยุดในชั่วระยะเวลาอันสั้นมาก (ประมาณ 22 ภาพ/วินาที) จะทำให้ดูเหมือนว่าภาพเหล่านั้นไม่ใช่ภาพนิ่ง แต่กลับเป็นภาพที่มีชีวิตชีวาเคลื่อนไหวได้
.......กล่าวโดยสรุปแล้วในร่างของคนคนหนึ่ง ก็มีสมองอยู่สองก้อน แต่ละก้อนก็เป็นตัวของมันเอง แต่มันสามารถทำงานร่วมกันเป็นเสมือนมันสมองก้อนเดียวกันได้ก็โดยการทำงานในระบบ " อินทิเกรท " (Integrated consciousness) มีเซลประสาท corups callosum ทำหน้าที่เป็นเครื่องเชื่อมต่อสื่อสารให้แก่สมองทั้งสองส่วนนั่นเอง มันคือตัวเชื่อมโยงที่ทำให้สมองสองส่วน สองบุคลิก กลายเป็นสมองที่มีบุคลิกอันเดียว
............. ใครก็ตามที่สามารถยกมือของตนทั้งสองข้างชูขึ้น แล้วพิจารณาดูให้ดีก็จะพบว่า ความรู้สึกของการมีมือทั้งสองข้างนั้นต่างกัน มันเป็นมือคนละข้าง เป็นมือที่แยกจากกัน ไม่ใช่มือเดียวกัน แต่มือทั้งสองเป็นของเขา ซึ่งเป็นบุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามือแต่ละข้างควบคุมโดยสมองคนละซีก ซึ่งไม่ใช่สมองก้อนเดียวกัน..... สภาวะเช่นเดียวกันนี้จะเกิดขึ้น เมื่อสมองของมนุษย์ถูกเชื่อมต่อกัน มนุษย์นับร้อยนับล้านคนจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือจะพูดได้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีเพียงบุคลิกเดียวเท่านั้น คือ " มนุษยชาติ "


วงศ์วานแห่งเอกภพ...(8)

การเชื่อมต่อสมองมนุษย์ทั้งโลกเข้าด้วยกัน เป็นเรื่องของเทคโนโลยีชั้นสูง และยุ่งยากที่สุด แต่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือความสามารถที่จะเป็นไปได้ และมันเป็นวิถีทางเดียวที่จะแก้ปัญหาการทำลายตัวเอง เพราะความขัดแย้งในเผ่าพันธุ์มนุษย์อันเกิดจากการป้อนกลับทางเทคโนโลยี และการเป็นสัตว์โลกที่มียีนที่ไร้โปรแกรมมากที่สุด ทั้งนี้โดยไม่ต้องเข้ายุ่งเกี่ยวกับการดัดแปลงยีนในตัวเองซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นการลดความฉลาด หรือลดระดับความสามารถในการปรับตัว ลดความสามารถทางสติปัญญาลงไปเลย
เทคโนโลยีในการเชื่อมต่อสมองมนุษย์ได้รับการวิจัยกันแล้วในรัสเซีย มันอาจจะเป็นก้าวแรกที่ช้าเกินไป แต่ก็เป็นก้าวสำคัญที่สุดซึ่งแสดงให้เห็นหนทางที่เป็นไปได้ การค้นคว้าทาง "วิทยุชีวะภาค"
(biological radio communication) กำลังอยู่ในการทดลองโดยคณะนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย คาซินสกี้ ลิซิทซิน (Cazhinskiy Lisitsyn) ผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย เปิดเผยการค้นพบสนาม แม่เหล็กไฟฟ้าของชีวภาค (bioelectromagenetic) และการแผ่ของคลื่นชีวภาค (bioradiation waves) ทั้งคนและสัตว์ต่างมีสนามพลังชีวิตแผ่ออกมา และมันสามารถจะเชื่อมต่อเข้ากับเครื่อง
มือที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อจับสนามชีวิตเหล่านั้นมาขยาย และแปลความหมายออกมาได้
คลื่นชีวิตของมนุษย์แผ่ออกมาจากระบบประสาทจะมีขนาดคลื่นประมาณ 1.8 ถึง 2.1 มิลลิเมตร ได้ถูกค้นพบมานานแล้วตั้งแต่สมัยปี พ.ศ. 2483 ปัจจุบันทฤษฏีการติดต่อโดยตรงกับสมองส่วนที่ควบคุมร่างกายไร้สำนึก ( เช่น ระบบการย่อยอาหาร หัวใจเต้น) ด้วยคลื่นอีเลคโตรแมกเนติคสามารถกระทำได้สำเร็จไปแล้ว ทั้งนี้โดยอาศัยหลักการที่เรียกว่า "ฮีสเทอรีซิส" ของสมองและระบบประสาท (Hysteresis) คือหลักการที่ว่าประสาทจะส่งผลตอบสนองสะท้อนกลับในช่วงเวลาหนึ่งภายหลังจากการที่มันถูกกระตุ้นอย่างถูกต้องจากสิ่งเร้าภายนอก หลักการนี้ได้นำมาใช้อย่างได้ผล ในการติดต่อสื่อสารกับสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานของร่างกายที่ไร้สำนึก (Subliminal brain).....ความทรงจำและการรื้อฟื้นความจำจากจิตใต้สำนึก ก็สามารถกระทำได้ โดยวิธีการติดต่อโดยตรงด้วยหลักการฮีสเทอรีซีสนี้เช่นกัน และโดยธรรมชาติความเป็นจริง สมองเองก็ใช้วิธีนี้กระตุ้นตัวมันเอง เมื่อต้องการรื้อฟื้นความจำ
เมื่อใดก็ตามที่ความรู้สึกนึกคิดของสมองสามารถเชื่อมโยงกันได้ ปัญหาของมวลมนุษย์กับมวลมนุษย์ก็หมดไป คนทั้งหมดจะกลายเป็นผู้มีความรู้สึกนึกคิดอันเดียวกัน เป็นมนุษย์ชาติเดียวกัน ไม่มีเขา
มีเราไม่มีพวกโน้นพวกนี้ มีเพียงหนึ่งเดียวคือ "มนุษย์ชาติ" เมื่อนั้นเผ่าพันธุ์มนุษยชาติก็กลายเป็น " อินทิเกรทบีอิ้ง " (integrated being) เขาจะไม่รู้จักการโกง ข่มเหงรังแก ขโมย ฆ่าฟัน โกหก อิจฉาริษยา แก่งแย่ง ข่มขืน เพราะทุกคนคือ " ตัวเขาเอง " ทั้งสิ้น

วงศ์วานแห่งเอกภพ...(9)
การวิวัฒนาการในระดับที่ 6 นี้สิ่งมีชีวิตที่มีเทคโนโลยีสูงพอ และเป็นผู้ค้นพบการเชื่อมความนึกคิดของสมองเข้าด้วยกันได้เท่านั้น จึงจะรอดจากความหายนะในบั้นปลายของการวิวัฒนาการระดับที่ 5 มาได้ สำหรับมนุษย์โลก หากหลุดพ้นจากบั้นปลายของระดับที่ 5 มาได้ก็คงเรียกได้ว่าย่างเข้าสู่ "ยุคพระศรีอาริย์"
.........ในปัจจุบันซึ่งนับว่ามนุษยชาติกำลังอยู่ในบั้นปลายของระดับที่ 5 แห่งวิวัฒนาการทางยีนเนติก อัตราการเกิดของมนุษย์โลกมีมากกว่าอัตราการตาย ในช่วงปี พ.ศ. 2480 ถึงปัจจุบัน พ.ศ. 2523
พบว่ามีเด็กเกิดใหม่มีคุณลักษณะพิเศษผิดไปจากมนุษย์ธรรมดาเป็นจำนวนมาก เด็กพิเศษเหล่านี้มีความสามารถพิเศษเหนือคนธรรมดาติดตัวมาด้วย เช่นในด้านความนึกคิด และสติปัญญาการคิดหาเหตุผล และการมองโลกของเขาก็ผิดจากคนอื่น ๆ ในยุครุ่นบิดามารดาของพวกเขา ที่สำคัญคือเด็กประหลาดพวกนี้ มีความสามารถทางพลังจิตสูงผิดปรกติ ส่วนใหญ่จะมีความสามารถทาง " พีเค" มาแต่กำเนิด (PK- ย่อมาจาก Psycho kinesis) หมายถึง การส่งพลังจิตออกไปบังคับควบคุมวัตถุต่าง ๆ ให้เกิดการเคลื่อนที่ได้ เรียกได้ว่า อำนาจจิตเหนือเทหวัตถุ) เด็กพวกนี้ในกลุ่มของเขาเองจะแสดงออกซึ่งความมีจินตนาการอันแปลกประหลาด บางคนมีแววของ " อีเอสพี " (ESP - ย่อมาจาก Extra Sensory Preception) หมายถึง ความสามารถพิเศษในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ โดยไม่ต้องอาศัย หู ตา จมูก ลิ้น สัมผัส หรืออาจเรียกได้ว่ามีประสาทที่หกในการรับรู้ก็ได้ เช่น อ่านใจคนได้ มองเห็นในสิ่งที่ตาไม่เห็น เด็กพวกนี้เกิดมากในยุโรปตอนเหนือ
.....เด็กพิเศษเหล่านี้อาจเป็นวิวัฒนาการอีกชั้นหนึ่งของมนุษยชาติก็ได้ เป็นการวิวัฒนาการก้าวไปสู่ระดับที่ 6 ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้าช่วย การสื่อสารระหว่างสมอง การเชื่อมโยงความรู้สึกนึกคิดของสมองอาจเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีการทาง " ไซโคจีเนติก " เชื่อมต่อกันด้วยพลังเร้นลับทางจิตที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่รู้จักก็ได้ 
......................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น